วันศุกร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เพื่อนสนิท

ผมชอบคิดเรื่องงานขณะนั่งรถเมล์ ทำไปทำมาก็เคยชินติดเป็นนิสัย รู้สึกตัวอีกทีก็พบว่า วันใดที่ไม่ได้พึ่งพาอาศัยรถเมล์เป็นออฟฟิศเคลื่อนที่แล้วล่ะก็ ผมมักจะเกิดอาการสมองลีบตีบตื้อทื่อตัน ความคิดไม่ไหล ไอเดียไม่แล่นขึ้นมาดื้อ ๆ 

เรื่องต่อไปนี้ก็เช่นกัน มันหล่นใส่หัวผมโครมเบ้อเริ่ม ระหว่างนั่งอยู่บนรถเมล์สาย 117 เมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา 

บ้านผมอยู่คนละโลเกชั่นกับบริเวณที่รถเมล์สาย 117 แล่นผ่านนะครับ นอกจากเหตุผลเรื่องเส้นทางอ้อมโลก ได้บรรยากาศของการเดินทางไกลแบบไม่ต้องลี้ภัยแล้ว ผมยังติดนิสัยชอบถอดรหัสตัวเลขต่าง ๆ เป็นสำเนียงกวางตุ้ง เช่น 577 เท่ากับ “อึ๋มชัดชัด”, หนึ่งร้อยเก้าสิบหกเท่ากับ “ยัดปากเก๋าสับหลก”, 1585 เท่ากับ “ยัดอึ๋มปัดอึ๋ม” ฯ 

ด้วยเหตุนี้ พอรถเมล์สาย “ยัดยัดชัด” มาจอดเทียบที่ป้าย ผมจึงสรุปกับตัวเองว่า ไปคันนี้แหละ 

“ยัดยัดชัด” ซึ่งมีผู้โดยสารว่างโล่งโหรงเหรงไม่สมกับสำเนียงกวางตุ้ง นำพาผมฝ่าการจราจรติดขัดและฝนตกพรำ ๆ ตลอดเส้นทาง ผ่านละแวกสุทธิสาร 

บ้านเพื่อนผมคนหนึ่งอยู่แถวนั้น ระหว่างทางผมจึงด้อม ๆ มองหา เผื่อจะได้เจอะเจอในระยะห่าง ๆ หรืออย่างน้อยที่สุดก็ได้เห็นหลังคาบ้านพอให้ชื่นใจ แต่อาจเป็นด้วยเวลาดึกเกินไป ผมจึงหาไม่เจอ เพราะทุกครัวเรือนล้วนปิดประตูดับไฟมืด ดูเหมือน ๆ กันไปหมด จนสังเกตไม่ถนัดแยกแยะไม่ถูก 

เพื่อนคนนี้คบหากันมาตั้งแต่สมัยเรียน และเป็นผู้หญิง เพื่อความสะดวกในการเรียกขาน ผมขออนุญาตตั้งชื่อเล่นสมมติให้เธอว่า “ดากานดากานดา” ก็แล้วกันนะครับ 
จริง ๆ แล้วก็อยากเรียกสั้น ๆ ว่า ดากานดา แต่เกรงจะก่อให้เกิดความสับสน เนื่องจากพ้องพานตรงกับชื่อตัวละครในหนังเรื่อง “เพื่อนสนิท” 

เพื่อนของผมจึงต้องกลายเป็น “ดากานดากานดา” (ซึ่งมีนัยยะว่า “เพื่อนสนิทกว่า” แอบแฝงอยู่ด้วย) 

ผ่านละแวกนี้ทีไร ผมก็มักจะนึกถึง “ดากานดากานดา” (เขียนแล้วก็เริ่มเหนื่อยและท้อนะครับ) และเรื่องราวอีก “ซ้ามหลกเก๋า” (369) ประการเกี่ยวกับตัวเธอ 
ถ้านับเอาความสัมพันธ์ถึงขั้นสามารถวิ่งไล่เตะกันได้โดยไม่โกรธ (หมายถึงเธอวิ่งไล่เตะผมฝ่ายเดียว แล้วตัวเธอเองไม่โกรธนะครับ) มาเป็นค่ามาตรฐานตัวเปรียบเทียบ ก็ถือได้ว่าผมกับ “ดากานดากานดา” (เฮ้อ! สงสัยผมจะตั้งชื่อผิด) นั้นสนิทกัน 

“ดากานดากานดา” (เลิกสงสัยแล้ว) เป็นคนเรียนเก่ง นิสัยดี (ยกเว้นตอนวิ่งไล่เตะผม) คุยสนุก ร่าเริง มีอารมณ์ขัน ปัญญาไว ไหวพริบดี และหน้าตาน่ารัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาหัวเราะ 

ผมยังไม่เคยเจอผู้หญิงคนไหนหัวเราะได้อร่อยเหาะแบบทุ่มทั้งใจถวายชีวิต แล้วยังคงความดูดีมีเสน่ห์เอาไว้ได้เทียบเท่ากับ “ดากานดากานดา” เลย (ถึงตรงนี้ผมปลงตกกับชื่อที่ตั้งแล้วครับ) 

มีกองเชียร์ (หรืออีกนัยหนึ่ง “บ่างช่างยุ”) พยายามหนุนส่งจับคู่ให้ผมกับเธอเป็นแฟนกัน แต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะฝ่ายหนึ่งมุ่งมั่นอยู่กับการวิ่งไล่เตะ อีกฝ่ายหนึ่งก็มัวแต่หนี (ผมเริ่มเข้าใจหัวอกของการเกิดมาเป็นลูกฟุตบอลตอนนั้นเอง) 

เหตุผลก็คือ ผมกับเธอรู้สึกตรงกันว่า ระหว่างเราสองคน เคมีมันไม่ได้ ไม่เกิดปฏิกิริยาสายฟ้าฟาด ปราศจากจิตพิศวาสซึ่งกันและกัน จะมองมุมไหนมุมใดก็หาความโรแมนติคไม่เจอโดยสิ้นเชิง 

ยิ่งไปกว่านั้น ตลอดเวลาสามปีที่คบหาเป็นเพื่อนกัน ผมก็มัวแต่ไปพลาดรักโดนสาวอื่น ๆ หักอกครั้งแล้วครั้งเล่า จนไม่ทันได้มีเวลามาพินิจพิจารณาคิดจีบเพื่อนใกล้ตัว ทำให้สูญเสียโอกาสได้พูดอะไรเท่ ๆ ประมาณว่า “ดากานดากานดา ชั้นรักแกว่ะ” 

เรื่องที่ปรากฎเป็นจริงก็คือ ผมมักจะอกหักระทมซมซานกลับคืนสู่บ้านนา มาให้คุณ “ดากานดากานดา” ของผมเย้ยหยันซ้ำเติมอยู่ร่ำไป พอโดนล้อเลียนหนัก ๆ ผมก็มักจะทำตาแดง ๆ เหมือนจะร้องไห้ 

ถึงตอนนั้น “ดากานดากานดา” ก็จะเปลี่ยนท่าทีมาเป็นปลอบโยนให้กำลังใจผมว่า “อกหักแค่นี้ไม่เป็นไรหรอก ประเดี๋ยวก็อกหักใหม่ได้อีก” 

มีหนุ่ม ๆ มารุมจีบ “ดากานดากานดา” ของผมเยอะเชียว แต่เธอก็ไม่ได้มีใจโน้มเอียงให้ใครเป็นพิเศษ โดนหยอดด้วยคำหวาน ๆ เธอก็หัวเราะ ได้รับคำชวนให้ไปดูหนังด้วยกันเธอก็หัวเราะ มีคนมอบดอกกุหลาบพร้อมการ์ดในวันวาเลนไทน์เธอก็หัวเราะ 

วันหนึ่งผมรำคาญหนัก ๆ เข้า เลยถาม “ดากานดากานดา” ตรง ๆ ว่า “ชีวิตเธอมันรันทดนักหรือไงวะ ถึงได้หัวเราะทั้งวัน” 

“ดากานดากานดา” ฟังแล้ว ก็นั่งหัวเราะท้องคัดท้องแข็งราวกับเสียสติ 

ที่แน่ ๆ กลวิธีใช้เสียงหัวเราะเป็นเกราะป้องกันตัวของ “ดากานดากานดา” ไม่เป็นผล ก็คนมันยิ่งหัวเราะ ยิ่งน่ารักนี่ครับ แฟนคลับของเธอจึงมีแต่เพิ่ม ไม่มีลด 

ผมก็เลยต้องรับเป็นบอดี้ การ์ด (หรือ “ก้างขวางคอ”) เพิ่มขึ้นอีกตำแหน่ง เพราะบ้านอยู่แถวห้วยขวาง บ้านเธออยู่สุทธิสาร สามารถใช้เส้นทางกลับบ้านเดียวกัน 

ผมนั้นไม่เคยเต็มใจ ไม่เคยนึกยินดี ที่จะต้องกลับบ้านพร้อม “ดากานดากานดา” เลยนะครับ นอกจากทางจะอ้อมเสียเวลา และโดนแฟนคลับของเธอหมั่นไส้ฟรี ๆ แล้ว ภารกิจดังกล่าวยังแย่งชิงเวลาส่วนตัวของผมที่จะไปอกหักครั้งล่าสุดอีกต่างหาก 

ผมได้ใช้วิธีอารยะขัดขืนทุกวิถีทาง ตั้งแต่มาตรการเบาะ ๆ แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ไปจนถึงขั้นล้อชื่อพ่อชื่อแม่เธอ แต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะโดนท่าไม้ตายที่ว่า “ถ้าไม่อยากกลับด้วยกันก็ไม่ต้องฝืน ไม่เป็นไร ชั้นเข้าใจดี ชั้นกลับบ้านเองคนเดียวก็ได้ แต่จำใส่กะโหลกไปจนวันตายเลยนะว่า ไม่ต้องมาเคารพนับถือชั้นเป็นเพื่อนอีก” 

ที่แสบกว่านั้น “ดากานดากานดา” ออดอ้อนออเซาะสัญญากับผมในตอนแรกเริ่มว่า “น่า นะ ช่วยเป็นเพื่อนกลับบ้านด้วยกันหน่อย แค่อาทิตย์เดียวเท่านั้นแหละ พอไม่มีใครมาตามตื๊อแล้ว เธอจะไสหัวไปไหนไกล ๆ ก็ไป น่า นะ คนดี๊ คนดี” 

ผลลัพธ์หรือครับ จากที่ตกลงไว้ว่าอาทิตย์เดียว ผมต้องกลับบ้านหลังเลิกเรียน พร้อมยัยนี่ 3 ปีเต็ม ๆ แถมยังตกเป็นข่าวลือเสีย ๆ หาย ๆ (ไม่ได้ลือว่าเป็นแฟนกันหรอก แต่ลือว่า ผมลอกการบ้าน “ดากานดากานดา”ทุกวิชา ทั้งที่เรียนคนละแผนก) 

ที่อภัยให้แทบจะไม่ได้เลยก็คือ “ดากานดากานดา” มักตำหนิติเตียนหญิงสาวทุกคนที่ผมแอบชอบ คนนี้แต่งตัวแต่งหน้าจัด, คนนั้นท่าทางหยิ่ง ๆ เป็นไฮโซ, คนโน้นเซ็กซี่เกินเหตุ, คนนู้นเพอร์เฟ็คแต่ระบบเสียงอู้อี้ขึ้นจมูก บางคนที่ไม่รู้จะตั้งแง่ติอะไร เธอก็ยังอุตส่าห์หาเรื่องค่อนแคะจนได้ว่า “สวยโอเวอร์” 

เจอะเจอเช่นนี้อยู่บ่อยครั้ง วันหนึ่งผมอดรนทนไม่ไหว จึงถาม “ดากานดากานดา” ว่า “ที่รักครับ หึงเหรอจ๊ะ?” 

เธอทำสีหน้าวางเฉยไม่ตอบอะไร แค่เอื้อมมือหยิบเครื่องคิดเลข (ของผม) ขว้างใส่โดนกบาลผมเต็ม ๆ อย่างแม่นยำ จากนั้นก็หัวเราะร่วนมีความสุข ตามประสาหญิงน่ารักผู้เหี้ยมโหด 

กล่าวได้ว่า ตลอดช่วงเวลาสามปี ผมโดน “ดากานดากานดา” โขกสับทำร้ายร่างกาย เยอะพอ ๆ กับโดนหญิงอื่นทั้งหมดรวมกันหักอก 

แต่ก็น่าแปลกนะครับว่า ยิ่งปะทะคารมถกเถียงกันบ่อยเท่าไร ยิ่งผ่านความสัมพันธ์ที่ดูเหมือน “ศัตรูในคราบของเพื่อน”มาโชกโชนเพียงไร เราสองคนก็ยิ่งสนิทสนมแน่นแฟ้นมากขึ้น จนวงการกองเชียร์และไทยมุง ต่างปักใจฟันธงว่า “นี่แหละเหวย เนื้อคู่บวกบุพเพสันนิวาสแถมด้วยพรหมลิขิตรวมกันแล้วคูณด้วยสาม” ทว่าจนแล้วจนรอดผมกับ “ดากานดากานดา” ก็ไม่เคยเป็นอื่นต่อกัน นอกจาก “เพื่อนสนิท” 

มีเรื่องที่ชวนให้ผมรู้สึกซึ้งใจอยู่สองสามเหตุการณ์ ครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อผมประสบอุบัติเหตุจากการเล่นฟุตบอล เดินเหินไม่ไหว ต้องหยุดเรียนไปหลายวัน “ดากานดากานดา” แวะเวียนมาเยี่ยมถึงบ้าน ซื้อผลไม้และขนมมาฝาก พร้อมทั้งช่วยอยู่ติวเข้มวิชาที่ผมขาดเรียน (ระหว่างนั้นคุณเธอก็กินผลไม้และขนมที่ซื้อมาจนหมด โดยไม่ยอมแบ่งผม) 

อีกครั้งหนึ่ง ผมได้ F วิชาบัญชี ต้องลงเรียนใหม่ และทำท่าว่าจะไปไม่รอด จอดไม่ต้องแจวเหมือนเดิม ก็ได้คุณ “ดากานดากานดา” นี่แหละครับ ช่วยสั่งสอนชี้แนะนอกเวลาเรียน กระทั่งท้ายสุดก็สอบผ่านมาได้อย่างหวุดหวิดทุลักทุเล 

หลังจากจบหลักสูตรปวช. ผมเรียนต่อ ส่วน “ดากานดากานดา” สอบบรรจุเข้าหน่วยงานที่ร่ำลือกันว่า “ยาก” และ “หิน” สาหัสได้สำเร็จ เส้นทางโคจรระหว่างเธอกับผมจึงค่อย ๆ เคลื่อนห่างจากกัน 

“ดากานดากานดา” เป็นเพื่อนคนเดียว ที่ยังคงเขียนจดหมายมาเล่าทุกข์สุขต่าง ๆ โดยไม่ขาดการติดต่อ (ตอนนั้นยังไม่มีอินเตอร์เน็ต ไม่มีอีเมล ไม่มีโทรศัพท์มือถือนะครับ) ก่อนเรียนจบเธอมอบรูปถ่ายให้ผมหนึ่งใบ และเขียนไว้ที่ด้านหลังว่า “ให้เก็บเอาไว้บูชา ห้ามส่งไปลงคอลัมน์-มาลัยเสี่ยงรัก-ของลุงหนวดเด็ดขาด ไม่งั้นตาย!!!” 

ในจดหมายทุกฉบับ “ดากานดากานดา” มักจะหาเหตุเอ่ยพาดพิงถึงรูปถ่ายใบนั้นอยู่เสมอ ๆ เช่น “รู้มั้ย ตอนนี้ชั้นสวยกว่าในรูปเยอะเลย”, “เธอตาสว่างเห็นสัจธรรมรึยังว่า ชั้นน่ารักกว่าผู้หญิงทุกคนที่เธอเคยจีบ ไม่เชื่อหยิบรูปที่ชั้นให้ไปขึ้นมาดูเดี๋ยวนี้”, “เห็นนางสาวไทยปีนี้แล้ว ชั้นคิดถึงรูปที่ให้เธอไปจังเลย” ฯลฯ 

ผมกับ “ดากานดากานดา” เขียนจดหมายไปมาหาสู่กันได้ราว ๆ ปีเศษ ๆ จากนั้นผมก็ย้ายบ้าน และเกิดความผิดพลาดในระหว่างเก็บข้าวของขนย้าย ผมทำที่อยู่ของเธอในสมุดเฟรนด์ชิพหาย (ฟังดูหยาบเหมือนกันนะครับ) รวมถึงจดหมายฉบับก่อน ๆ ทั้งหมด และรูปถ่ายที่เธอมอบให้ 

นับตั้งแต่นั้นมา ผมกับเธอก็ขาดการติดต่อ คาดเดาได้ว่าระยะแรก ๆ เธอคงจะเขียนจดหมายถึงผมโดยส่งไปที่บ้านเก่า และปราศจากการตอบกลับ นานวันเข้าเธอก็คงปลงตกกับการ “หายไร้ร่องรอย” ของผม 

ผมได้เจอ “ดากานดากานดา” อีกเพียงแค่ครั้งเดียวในหลายปีต่อมา ที่งานแต่งของเพื่อนอีกคน เธอยังคงเป็นหญิงสาวหน้าตาน่ารัก เบิกบาน ยิ้มเก่ง หัวเราะเก่ง และปากร้ายใจดีเหมือนเดิมไม่แปรเปลี่ยน 

หลังจากดุด่าอบรมผม โทษฐานที่ย้ายบ้านแล้วขาดการติดต่อเสร็จสรรพ รวมทั้งทักทายไถ่ถามทุกข์สุขต่าง ๆ แล้ว เธอแนะนำให้ผมได้รู้จักกับผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งเป็นแฟนเธอ 

จวบจนปัจจุบัน ผมไม่เคยเขียนจดหมายถึงเธออีก ไม่มีโอกาสพบปะเจอะเจอกันอีก และยิ่งไม่รู้ถึงความเป็นไปต่าง ๆ ในชีวิต 

ผมได้แต่หวังและวาดภาพขึ้นมาเอาเองว่า เธอคงจะมีความสุขกับครอบครัว หน้าที่การงาน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพระเอกของเธอ 

เรื่องนี้ผมเป็นแค่เพื่อนนางเอกนะครับ และเขียนขึ้นด้วยอารมณ์คิดถึงเพื่อนล้วน ๆ เลย

วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เมษายน-กันยายน



                เราพบกันตอนอายุ 13 จากกันเมื่ออายุ 15
เนิ่นนานปีตราบวันนั้นจนถึงบัดนี้ ผมกับเธอไม่เคยเจอกันอีกเลย
            มีหลายอย่างในชีวิตที่สามารถเปลี่ยนแปลงกลายเป็นอื่น  กระทั่งตัวเธอและผมเอง ผ่านวันเวลาปีแล้วปีเล่า เราสองล้วนผิดแผกจากเดิม ทั้งทางกายภาพและความคิดจิตใจ กลายเป็นอีกคนที่เหลือเค้ารอยเก่าก่อนเพียงน้อยนิด
            แต่สิ่งหนึ่งที่ยังไม่เปลี่ยน คือ ความรู้สึกที่ผมมีต่อเธอ
สำหรับผมแล้ว ไม่ว่าเวลาจะเคลื่อนผ่านไปเนิ่นนานเท่าไร? เธอยังเป็นความรักครั้งแรกอยู่เสมอ
                                                --------------
16 กันยายน 2553 ผมพบเมย์ใน facebook
มันเริ่มจากอารมณ์ครึ้ม ๆ นำลิงก์เพลง To All the Girl I Love Before มาใส่ไว้ในหน้า facebook ของผมเอง
ผมฟังซ้ำอยู่หลายเที่ยว พลางนึกย้อนถึง หญิงสาวทุกคนที่ผมเคยรักมาก่อนเหมือนดังชื่อเพลง
ทุกคนในย่อหน้าข้างต้น พูดให้ถ่องแท้แน่ชัดตรงกับความจริง นั้นเป็นจำนวนที่ควรต้องนิยามว่า เรื่องรัก น้อยนิด และไม่มหาศาล
แล้วผมก็เกิดสงสัยใคร่รู้ขึ้นมาฉับพลันว่า ปัจจุบันขณะของแต่ละคนเป็นเช่นไรบ้าง?
ผมจึงเริ่มพิมพ์ชื่อ นามสกุล ลอง search ค้นหาแบบไม่ได้ตั้งความหวัง เนื่องจากเธอบางคนอาจไม่ได้เล่น facebook บางคนอาจเปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนามเสียใหม่ และบางคนอาจเปลี่ยนนามสกุล โดยการแต่งงาน
เมย์เป็นคนเดียวที่ผม search จนเจอ  เธอแต่งงานแล้ว  และใช้นามสกุลใหม่ตามสามี รูปประจำตัวในโปรไฟล์ของเธอ บ่งชัดว่าใช่ แม้จะเปลี่ยนแปลงไปมากตามวัยอายุขัยที่เพิ่มขึ้น แต่ก็ยังเห็นเค้าความงามเดิม ๆ
เหตุผลสำคัญที่ผมพบเธอ น่าจะเป็นเพราะชื่อจริงที่แปลกและมีเอกลักษณ์เฉพาะ ไม่ค่อยซ้ำใคร
ชื่อจริงของเมย์คือ เมษากานต์ เธอเคยแปลความชื่อนี้ให้ผมฟังว่า หมายถึงเดือนเมษาอันเป็นที่รักหรือเมษาที่งดงาม
                                                --------------
ชื่อแปลก ๆ ของเธอไม่ใช่สิ่งที่สะดุดใจเป็นอันดับแรก เป็นดวงตาของเธอต่างหาก ที่ทำให้ผมตะลึงหลงทันทีเมื่อพบเห็น
พรรณนาและอธิบายได้ว่า สายตาคู่นั้น หวาน โศก งามซึ้ง มีขนตางอนยาวอ่อนช้อย ขับเน้นให้ใบหน้าอันสวยอยู่แล้วยิ่งทวีความตราตรึงใจ
เราเรียนห้องเดียวกันตลอดทั้ง 3 ปี และผมเชื่อว่า เพื่อนผู้ชายแทบทั้งห้อง (รวมถึงผมด้วย) ล้วนชอบและใฝ่ฝันอยากเป็นแฟนกับเมย์
บางคนก็จีบเธออย่างไม่เก็บงำอำพราง หลายคนแอบชอบอยู่เงียบ ๆ ลึก ๆ ผมเป็นหนึ่งในกลุ่มหลัง
ผู้หญิงสวยโดดเด่นอย่างเมย์ อยู่ในฐานะ เลือกได้ตลอดเกือบ ๆ 3 ปีของการเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียน เธอจึงไม่ได้คบหาเป็นแฟนกับใคร
กล่าวอีกนัยหนึ่ง เมย์ยังไม่พบผู้ชายในฝันคนนั้น คนที่ดีพอจะชนะใจเธอ
ภาพคุ้นเคยที่เกิดขึ้นประจำถี่บ่อย คือ เพื่อนที่จีบเมย์คนแล้วคนเล่า ต่างลงเอยพานพบกับความผิดหวังโดยทั่วหน้า
ผองเพื่อนอกหักเหล่านี้ มีอาการหนักเบาผิดแผกกันไป บางรายฟื้นหายเป็นปกติโดยไว บางคนหม่นซึมต่อเนื่องไปอีกนาน
สภาพเช่นนั้น ยิ่งทำให้ผมเก็บอาการ ไม่กล้าแสดงออก เผยความรู้สึกในใจที่มีต่อเมย์ให้เธอล่วงรู้
อย่างไรก็ตาม ผมกับเธอนับเป็นเพื่อนที่สนิทสนมกันมาก มันเกิดขึ้นโดยความบังเอิญ เราเจอกันที่ห้องสมุด จึงรู้ว่าอีกฝ่าย ชื่นชอบโปรดปรานการอ่าน
นับจากวันนั้น ผมกับเมย์ก็คุยเรื่องหนังสือกันบ่อย ๆ ประสาคนถูกคอรสนิยมตรงกัน และงอกงามไปสู่มิตรภาพในซีกมุมอื่น ๆ ตั้งแต่ เรื่องเที่ยวเตร่เฮฮา, การเรียน, การดูหนัง รวมทั้งการแลกเปลี่ยนปรับทุกข์ต่อกัน
ผมเป็นเพื่อนผู้ชายคนเดียว ที่เมย์สามารถร้องไห้ให้เห็นอย่างไม่รู้สึกอึดอัดขัดเขิน และนั่นผมถือเป็นความไว้เนื้อเชื่อใจขั้นใกล้ชิดสุด
แรกเริ่มผมก็กล้า ๆ กลัว ๆ ว่า หากเมย์รู้ว่าผมคิดกับเธอเกินเลยกว่าเพื่อน ความเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันคงแตกสลาย ยากจะกลับมาเหมือนเดิมได้อีก
ผมจึงลังเลสับสนเรื่อยมา ระหว่างการเก็บซ่อนความรักไว้เป็นความลับคับใจ กับการถนอมรักษาความเป็นเพื่อนให้มั่นคงต่อไป
จนย่างเข้าสู่เทอมสุดท้าย ปีสุดท้าย ตอนนั้นผมกำหนดอนาคตตัวเองไว้แล้วว่า จะสอบเข้าเรียนต่อที่อื่น ส่วนเมย์ตกลงปลงใจเรียนต่อชั้นมัธยมปลาย ณ ที่เดิม
นี่คือ แรงผลักดันให้ผมตัดสินใจสารภาพรักกับเธอ ผมเพียงแต่รออีกแค่เล็กน้อย รอให้วันนั้นมาถึง วันวาเลนไทน์...
                                                                ------------------
ในวัยวันครั้งยังอ่อนเยาว์คราวนั้น ผมชอบเพลง April Come She Will ของไซมอนแอนด์การ์ฟังเกล ด้วยเหตุผลตื้นง่ายสุด คือ ชื่อเพลงเชื่อมโยงถึงนามของผู้หญิงที่ผมรัก-เมย์-เมษากานต์
เมย์เป็นคนแนะนำให้ผมรู้จักเพลงนี้ เธอชอบเพราะว่ามันเป็นเพลงที่ไพเราะมาก ส่วนผมชอบเพราะยึดถือมันเป็นเพลงประจำตัวเธอ
หลายปีต่อมาเมื่อเติบโต ผ่านโลกและชีวิตมากขึ้น ผมรักเพลงนี้ด้วยอีกเหตุผล นั่นคือดื่มด่ำซาบซึ้งกับความหมายของเนื้อร้อง
กล่าวโดยสรุป เป็นเพลงที่เล่นคำหยิบนำเอาชื่อเดือนและฤดูกาลทางธรรมชาติต่าง ๆ มาเปรียบเปรยความเป็นไปของความรัก (หรืออาจตีความถึงสิ่งอื่น ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตก็ย่อมได้) เธอมาเมื่อเมษา, คงอยู่เมื่อพฤษภา, ผลิใบเปลี่ยนสีเมื่อมิถุนา, โบยบินหลุดลอยเมื่อกรกฏา, ตายจากพรากลับเมื่อสิงหา, เหลือแต่เพียงความทรงจำเมื่อกันยา
ผมคิดว่าเพลงนี้บรรยายธรรมชาติรอบ ๆ ตัวที่เปลี่ยนไปตามฤดูกาล ได้สวยเหมือนภาพเขียนทิวทัศน์แบบงานศิลปะสกุลอิมเพรสชั่นนิสม์ รวมทั้งสะท้อนสัจธรรมเกี่ยวกับการพบแล้วพลัดพรากได้กระชับครอบคลุมดียิ่ง
การพบและพรากระหว่างผมกับเมย์ ไม่ได้นอกเหนือหลุดพ้นไปจากเนื้อหาในบทเพลง เธอผ่านเข้ามาในชีวิต ใช้เวลาช่วงหนึ่งร่วมกัน ความสัมพันธ์เคลื่อนผ่านถึงจุดแปรเปลี่ยน เราต่างกลายเป็นอื่น พลัดพรากจากกันถาวร และเหลือไว้เพียงแค่ความทรงจำให้รำลึกนึกถึง
                                                                -------------------
คืนก่อนวันวาเลนไทน์...
ผมนั่งเขียนจดหมายสารภาพรักกับเมย์ เขียนแล้วฉีกทิ้ง เขียนใหม่ แทบว่าจะนับจำนวนครั้งไม่ถ้วน มีทั้งฉบับที่พยายามประดิดประดอยอย่างวิจิตรบรรจงหวานเลี่ยน จดหมายที่ฟุ้งซ่านพร่ำเพ้อ และอีกมากมายสารพัดอารมณ์
จนถึงตีสอง ผมก็เขียนจดหมายเสร็จ และเป็นฉบับที่ผมพึงพอใจมากสุด มันเป็นจดหมายรักฉบับสั้น ๆ เรียบง่ายตรงไปตรงมา เขียนบอกไว้เพียงแค่ว่า ฉันรักเธอ
ผมเข้านอนและเก็บเอาเรื่องจดหมายถึงเมย์ ติดแนบไปในความฝันยามหลับ
แน่นอนว่า ฝันนั้นเป็นฝันดี
ดีกระทั่งว่า ตื่นขึ้นมาผมก็ยังเสียดายอาลัยอาวรณ์ที่มันเป็นเพียงแค่ความฝัน และนึกถึงเนื้อร้องในบทเพลงหนึ่งของทูล ทองใจที่ว่า ...หากฝันฉันไม่หลอกหลอน ตื่นนอนคงพบหน้าน้อง สมดังปองใจปรารถนา...
ทว่าบ่อยครั้งความฝันกับความเป็นจริง ก็ไม่สอดคล้องตรงกัน มิหนำซ้ำยังขัดแย้งสวนทาง
ผมตั้งใจจะมอบจดหมายให้เธอพร้อมการ์ดวาเลนไทน์ มอบให้เธอตอนเลิกเรียน ก่อนแยกย้ายกลับบ้าน แต่จดหมายที่สู้บรรจงเขียนถึงเมย์ ไม่ทันได้มีโอกาสส่งมอบให้เธอ เราก็ทะเลาะมีปากเสียงกันเสียก่อนตั้งแต่เช้าตรู่ของวันนั้น
มันเริ่มจากเธอนำขนมมาฝาก ผมเอ่ยกระเซ้าทีเล่นว่าไม่เห็นอร่อยเลย ซื้อมาทำไมเปลืองเงินเปล่า ๆ
ผมตั้งใจจะให้เป็นมุขตลก ตระเตรียมหยอดตบท้ายต่อไปว่า แต่เพราะคนซื้อแท้ ๆ ทีเดียวจึงทำให้ขนมนี้มีรสวิเศษกว่าขนมใด ๆ
เมย์ดูจะหงุดหงิดฉุนเฉียวผิดปกติ เธออารมณ์เสียทันที และไม่รอให้ผมเอ่ยสิ่งที่คิดไว้ ประเด็นพูดคุยก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดจริงจัง
ท้ายที่สุดบทสนทนาก็บานปลายกลายเป็นทะเลาะเบาะแว้งถึงขั้นแตกหัก
เป็นครั้งแรกที่ผมไม่เข้าใจเมย์ และรู้สึกว่าเธอทำตัวไร้เหตุผล พาล และทำตัวงี่เง่า ผมรู้ว่า ระหว่างการมีปากมีเสียง ผมก็หลุดอะไรแรง ๆ ออกไปเยอะเช่นกัน แต่ผมก็คิดข้างตัวเองว่า ไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มต้น
วัยเยาว์และอารมณ์วู่วาม ทำให้ผมมองไม่เห็นความผิดพลาดของผม แท้จริงแล้วผมเป็นฝ่ายเริ่มต้นพูดไม่เข้าหูเธอ แต่นาทีนั้น ผมคิดได้อย่างเดียวว่า ผมเป็นฝ่ายเจ็บช้ำและควรจะรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ
ค่ำคืนวาเลนไทน์นั้น ผมพกพาซองใส่การ์ดและจดหมายติดตัวกลับบ้าน ผมฉีกมันทิ้ง แล้วโยนลงถังขยะ และนั่งซึมจนน้ำตาค่อย ๆ ไหลออกมา
นับจากนั้นมา  ผมกับเมย์ก็เข้าหน้ากันไม่ติด เราต่างโกรธกระทั่งไม่เหลือบแลดูอีกฝ่าย จนแม้วันสุดท้ายที่ต้องแยกจากกัน
                                                ----------------------
จากวัยรุ่น เคลื่อนมายังวัยหนุ่ม จวบจนเป็นผู้ใหญ่ ผมผ่านประสบการณ์รักที่ลงเอยอย่างปวดร้าวอีกตามสมควร
ผมมักจะพบเห็นข้อบกพร่องและไม่เข้าท่าของตัวเองแบบผิดเวลา สายเกินไปเสมอ เมื่อต้องสูญเสียคนที่รักไปแล้วเป็นการถาวร
อาจเพราะเหตุนี้ ผมจึงหลงใหลโปรดปรานเพลง If I were a Magician ของบิลลี เวราเป็นชีวิตจิตใจ
เป็นเพลงรักหวานเศร้า บนเงื่อนไขต่าง ๆ นานาของถ้อยคำ ถ้าหากว่า...
เพลงนี้เล่นคำในเชิงเปรียบเปรย ถ้าหากว่าฉันเป็น...ระหว่าง musician กับ magician ได้อย่างหลักแหลมคมคาย
ในการเป็นแบบแรกคือ musician ชายหนุ่มในบทเพลง จะร้องขับขานเพลงโปรดของเธอ กล่อมปลอบประโลมให้เธอเป็นสุขใจ หรือพูดอีกแบบคือ จะทำทุกอย่าง-ซึ่งในชีวิตจริงเขาละเลยไม่ได้ทำ-เพื่อเธอ
เนื้อร้องมาเจ็บร้าวบาดลึกตรงที่ ถ้าหากว่าเขาจะสามารถขับขานบรรเลงเพลงบทนั้น แล้วทำให้เธอกลับคืนมาได้อีก ครั้งนี้เขาจะไม่มีวันปล่อยให้เธอจากไปอีกเด็ดขาด...
ในการสมมติต่อมา คือ เป็น magician นักมายากลผู้มีมนตร์วิเศษ เขาจะเสกบันดาลให้ผู้ชายคนนั้นหายไปในชั่วพริบตา
ผู้ชายคนนั้นที่เป็นรักปัจจุบันของเธอ และเป็นคนที่ดีกว่า ใช่สำหรับเธอมากกว่า
ให้ผู้ชายคนนั้นหายสูญไป เพื่อเขากับเธอจะได้มีโอกาสเริ่มต้นใหม่
เพลงนี้เศร้าและให้ความรู้สึกเจ็บเจียนตาย ด้วยว่าทั้งหลายทั้งปวงที่ชายหนุ่มในบทเพลงใฝ่ฝันโหยหาอยากประพฤติปฏิบัติ ล้วน เป็นไปไม่ได้โดยสิ้นเชิง ในโลกแห่งความจริง
ผมรู้สึกว่าเพลง If I were a Magician อธิบายความในใจของผมได้ดีกว่าที่ผมคิดรู้สึกนึกเอาเองตามลำพัง
คล้อยหลังเมื่อหญิงสาวผู้เป็นความรักของผมจากไป ผมมักจะคิดถึงเพลงนี้...อย่างปวดร้าวเดียวดาย
ตอนที่เมย์ค่อย ๆ ห่างและไกลพ้นเลยชีวิตของผม ผมยังไม่รู้จัก ยังไม่เคยได้ยินเพลงนี้
อย่างไรก็ตาม หลายปีถัดจากนั้น เมื่อสำเนียงเพลงนี้ผ่านหูเป็นคราวประเดิม ใบหน้าแรกที่ล่องลอยมาในความนึกคิดผม คือ เจ้าของดวงตา หวาน โศก สวย ซึ้ง เธอชื่อเมย์ และเป็นรักครั้งแรกของผม
                                                                ---------------------
มีคำ ถ้าหากว่า...มากมายเต็มไปหมด ในความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเมย์
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าหากว่า ผมล่วงรู้ความจริงสักนิด...เหตุการณ์คงแผกโฉมเปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวง
ผมได้รู้ความจริงนั้น เมื่อเธอจากไปแล้ว และความรักที่ยังไม่ทันได้สมหวัง สลายย่อยยับแหลกละเอียดไปแล้ว
หลังสอบเสร็จวันสุดท้าย จู่ ๆ เมย์ก็เดินมาฉวยสมุดเฟรนด์ชิพจากมือของผมไปเขียน ไม่พูดไม่จาใด ๆ และไม่มีแม้กระทั่งรอยยิ้ม ใบหน้านั้นเรียบเฉยและนิ่งสงบ จนยากจะคาดเดาได้ว่าเธอรู้สึกเช่นไร?
เธอเขียนเฉพาะแค่ที่อยู่ ไม่ลงชื่อกำกับ ไม่มีข้อความแนบพ่วงอื่นใด
ผมมองดูหน้าสมุดเฟรนด์ชิพนั้น ดูลายมือของเธอ พูดได้ว่า เจ็บทุกครั้งเมื่อได้แลเห็น
ผมไม่เคยเขียนจดหมายไปหาเธอ จนกระทั่งนานวัน สมุดเฟรนด์ชิพเล่มดังกล่าวก็กลายเป็นความหลังสมบูรณ์แบบ หายไปอย่างไร้ร่องรอย โดยผมไม่ทันเอะใจและไม่รู้สึกเสียดาย
5 ปีต่อมา...
ผมไปร่วมงานเลี้ยงรุ่น ด้วยเหตุผลลึก ๆ ว่าอยากเจอเมย์ แต่คืนนั้นเธอไม่มา
หลังงานเลิก ดาวเพื่อนผู้หญิงอีกคนที่สนิทกับเมย์มาก ขอคุยกับผมเป็นการส่วนตัว
ดาวเล่าให้ฟังว่า เมย์เค้าน้อยใจและเสียใจมากนะ ที่เธอพูดกับเค้ายังงั้น
ดาวหมายถึงขนมที่ผมติว่าไม่อร่อย แท้จริงแล้วเมย์ไม่ได้ซื้อ แต่เธอตั้งอกตั้งใจทำจนสุดฝีมือ และปรนปรุงด้วยความรู้สึกพิเศษที่มีต่อผม
เมย์เค้ารอให้เธอไปง้อและขอโทษ จนวันสอบวันสุดท้าย เมย์ก็ยังให้โอกาสเธอเขียนจดหมายไปหา... ดาวนิ่งไปชั่วอึดใจ ชั้นไม่เล่าหรอกนะ ว่าหลังจากนั้นแล้วเกิดอะไรขึ้น มันเป็นเรื่องส่วนตัวของเมย์ ไม่ใช่เรื่องของเธออีกต่อไป
เรื่องที่ดาวไม่ได้เล่า ผมพอจะปะติดปะต่อได้มาก่อนแล้ว จากบทสนทนากับเพื่อนคนอื่น ๆ ระหว่างอยู่ในงานเลี้ยงรุ่น
 เมย์เพิ่งแต่งงานเมื่อ 2 เดือนที่ผ่านมา เพื่อนหลายคนได้รับการ์ดเชิญ ยกเว้นผม
ดาวทิ้งท้ายก่อนแยกย้ายกับผมว่า เธอคงรู้นะว่าเมย์รู้สึกยังไงกับเธอ ชั้นเชื่อว่านี่เป็นเรื่องเดียวที่เค้าคงอยากให้เธอรู้
Oh! I wish you loved me
Like you loved me long ago
It was early in the summertime you said you love me so
The chesnuts trees...The summer breeze
Whispered soff and low
And If I could bring you back again…I’d never let you go.
คืนนั้น ผมนึกถึงเนื้อร้องในบทเพลงนั้น เพลงที่ไม่ใช่ เพลงรักของเราแต่เป็นเพลงเศร้าของผมเพียงลำพัง
                                                                                ---------------
16 กันยายน 2553 ผมพบเมย์ใน facebook
ผมไม่ได้ขอ add เป็นเพื่อนกับเธอ แต่คิดถึงบรรทัดท้าย ๆ ของเนื้อร้องในเพลง April Come She Will ขึ้นมาจับจิตจับใจ
September I’ll remember
A love once new has now grown old.