1
ผู้หญิงที่ผมแอบเรียกขานในใจว่า “พี่สาว” เป็นเพียงรูปเงาอันพร่าเลือนในความทรงจำ ขนาดนึกทวนย้อนหลังว่า ตลอดยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมาเคยรำลึกถึงเธอบ้างไหม ก็ยังตอบตัวเองได้ไม่แจ่มชัด
อันที่จริงเธอไม่ได้เกี่ยวดองเป็นพี่น้องกับผม แม้จะอ้างเป็นแค่คนรู้จัก ก็ยังพูดได้ไม่เต็มปาก เรื่องของเรื่องคือ แม่ผมสนิทกับพ่อเธอและไปมาหาสู่กันสม่ำเสมอ แต่เราสองเคยพบปะนับครั้งได้ไม่เกินนิ้วมือ คาดคะเนคร่าว ๆ ว่า ตอนนั้นเธอน่าจะอยู่ในวัยแตกเนื้อสาว ส่วนผมคงอายุประมาณหกเจ็ดขวบ
ด้วยความที่ผมเป็นเด็กซึ่งคุ้นกับคนได้ยาก จึงมักนิ่งเงียบทุกคราวที่ตามแม่ไปเยี่ยมเยียนครอบครัวเธอ แต่ลึก ๆ ก็รู้สึกเป็นสุขทุกครั้ง เพราะที่นั่นละลานตาไปด้วยหนังสือการ์ตูนกองโต
แน่ละ ฐานะครอบครัวที่ยากจนทำให้แม่ไม่อาจเจียดเงินซื้อหาสิ่งเหล่านี้มาให้ผมครอบครอง บ้านของ “พี่สาว” จึงมีความหมายยิ่งกว่าสวนสนุก สำหรับวัยเด็กอันขัดสนของผม เวลาแต่ละนาทีดูจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อถึงวาระที่ต้องอำลาเจ้าบ้าน ผมมักอิดออดไม่ยอมละสายตาจากการ์ตูนที่กำลังเพลิดเพลินติดพัน และพกพานิสัยดื้อรั้นเข้าถ่วงยื้อโมงยามรื่นรมย์เอาไว้ให้เนิ่นนานเท่าที่จะทำได้
เป็นเช่นนี้อยู่ร่ำไป จนกระทั่งวันหนึ่ง “พี่สาว” คงจะเข้าใจความรู้สึกของเด็กเล็ก ๆ อย่างผม เธอเลยจัดแจงแบ่งปันหนังสือการ์ตูนที่ซื้อหาด้วยเงินออมส่วนตัว และยกให้ผมโดยปราศจากสิ่งตอบแทน
ในยามตื่นเต้นยินดี ผมลืมแม้กระทั่งจะเอ่ยขอบคุณ จนแม่ต้องเอ่ยปากดุ ระหว่างเดินทางกลับบ้าน ใจมันเตลิดลอยล่วงหน้าไปหาหนังสือกองใหญ่ที่กอดกระชับแนบอก ไม่รับรู้เรื่องใด ๆ ทั้งสิ้น แม้แต่ถ้อยคำที่แม่ชวนคุยก็ได้แต่ขานรับไปตามเรื่องตามราวมากกว่าจะสนใจฟังจริงจัง
ผมขลุกอยู่กับสมบัติล้ำค่าที่ได้มาใหม่เป็นเวลาร่วมเดือน วัน ๆ ไม่เป็นอันทำอะไร อาการหลงใหลได้ปลื้มของผมเชื่อว่าแม่คงยินดี กระนั้นก็ไม่วายเป็นห่วง และตักเตือนให้ผมดู “พี่สาว” เป็นเยี่ยงอย่าง พร้อมทั้งชื่นชมต่าง ๆ นานา
คำบอกเล่าของแม่ในตอนนั้นคลับคล้ายว่า “พี่สาว” เป็นคนเรียนเก่ง ขยัน แต่ที่จำได้แม่นคือ แม่ซึ่งมีแต่ลูกชายล้วนชอบเปรยเล่น ๆ ว่าอยากได้ลูกสาวสักคนเหมือนอย่างเธอ ผมพลอยพยักหน้าหงึก ๆ แอบเห็นพ้องอยู่เงียบ ๆ
ใครเล่าจะไม่รักพี่สาวใจดีที่มีการ์ตูนให้อ่านเหลือเฟือ
ไม่กี่เดือนให้หลัง เย็นวันหนึ่งแม่กลับบ้านด้วยน้ำตานองหน้า พร้อมทั้งข่าวร้ายเกี่ยวกับพี่สาว...
2
มีหนังมากมายหลายหลากที่ผมชื่นชอบโปรดปรานด้วยเหตุผลแตกต่างกัน แต่เรื่องหนึ่งที่ชอบเนื่องจากเหตุผลพิเศษออกไปก็คือ It’s a Wonderful Life ของแฟรงค์ คาปรา
หนังเรื่องนี้มีอิทธิพลต่อความคิดอ่านและการใช้ชีวิต เป็นคำตอบที่ผมยึดกุมเสมอ เมื่อไรก็ตามที่มีคนตั้งคำถามว่า เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร?
จอร์จ เบลีย์ ตัวเอกของเรื่องใฝ่ฝันอยากสร้างวีรกรรมยิ่งใหญ่ให้ผู้คนร่ำลือ แต่จังหวะชีวิตและจิตสำนึกดีงามฉุดรั้งให้เขาต้องจมปลักอยู่ในเมืองเล็ก ๆ ทำธุรกิจเงินกู้เพื่อสร้างบ้าน ไม่มีกำไรเป็นชิ้นเป็นอัน นอกจากจะได้ช่วยชาวเมืองยากจนให้มีหลักแหล่งพำนักในราคาพอเหมาะ ท่ามกลางการเฝ้ามองของนายทุนหน้าเลือดที่พร้อมจะช่วงชิงกิจการอยู่ทุกเมื่อ และคอยฉวยโอกาสลอบกลั่นแกล้งจนจอร์จล้มละลาย ท้อแท้สิ้นหวัง หมดสิ้นศรัทธา ต่อความดีงาม อับจนหนทางถึงขั้นติดสินใจฆ่าตัวตายในคืนวันคริสต์มาส
ชาวบ้านที่รู้ข่าวพากันพร่ำภาวนาต่อเทพยดาบนสรวงสวรรค์ให้คิดอ่านช่วยเหลือ เทวดาไร้ปีกองค์หนึ่งถูกส่งมาแก้ไขปัดเป่าเรื่องราวทั้งหมดในร่างตาแก่อารมณ์ดี ซึ่งชิงโดดน้ำตายตัดหน้าจอร์จ ทำให้ชายหนุ่มต้องเปลี่ยนจากการฆ่าตัวตายมาเป็นการช่วยชีวิตโดยปริยาย
ผู้เฒ่าจำแลงเลียบเคียงถามไถ่กับจอร์จ จนชายหนุ่มระบายความคับข้องใจ ถึงขั้นหลุดคำพูดออกมาว่า หากเปลี่ยนอดีตได้ เขาอยากจะไม่ถือกำเนิดมีชีวิตขึ้นมาบนโลก เพราะเท่าที่ผ่านมาทุกสิ่งที่กระทำล้วนล้มเหลวไร้ค่า
เมื่อกลับเข้าไปในเมือง คำพูดของจอร์จกลายเป็นจริงตามเงื่อนไขที่ว่า หากเขาไม่เคยมีตัวตนมาก่อน เมืองทั้งเมืองจะเป็นเช่นไร
ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนไป ชาวบ้านยากจนจำนวนมากไร้ที่อยู่อาศัย กลายเป็นมิจฉาชีพก่อภาระให้แก่สังคม
นายทุนหน้าเลือดกอบโกยทุกวิถีทาง จนเมืองเล็ก ๆ อันสงบสมถะ พลุกพล่านด้วยแหล่งอบายมุข ชาวบ้านที่เคยเป็นมิตรกลับแปลกหน้าต่อกัน
เมียของจอร์จกลายเป็นสาวทึนทึกที่หวาดระแวงเพศตรงข้าม น้องชายที่จอร์จเคยช่วยชีวิตในวัยเด็ก กระทั่งเติบโตเป็นวีรบุรุษของชาติในการสู้รบ นอนสงบนิ่งอยู่ในสุสานเนื่องจากจมน้ำตายตั้งแต่เยาว์วัย หญิงสาวคนหนึ่งที่จอร์จเคยเสียสละนำเอาเงินที่ตั้งใจจะจับจ่ายในช่วงฮันนีมูนให้หยิบยืม ประสบปัญหาเดือดร้อนเรื่องการเงินจนต้องหันมายึดอาชีพโสเภณี ตาเฒ่าเจ้าของร้านขายยา ซึ่งจอร์จเคยช่วยทักท้วงไม่ให้จ่ายยาผิด ติดคุกข้อหาฆ่าคนตายโดยประมาท และติดเหล้าอย่างรุนแรงในเวลาต่อมา
เหตุแปรเปลี่ยนทั้งปวงทำให้จอร์จได้ตระหนักว่า แท้ที่จริงชีวิตเขามิได้สูญเปล่า ตรงข้าม กลับเต็มไปด้วยการกระทำอันควรแก่ความภาคภูมิใจ
It’s a Wonderful Life อธิบายถึงความหมายของการมีชีวิตด้วยคำตอบง่าย ๆ ว่า ทุกชีวิตย่อมเกี่ยวโยงส่งผลต่อผู้คนรอบข้าง อาจแลดูง่าย รวบรัด มองข้ามความจริงบางด้าน และเจือบรรยากาศพาฝันในเชิงอุดมคติ แต่ก็เป็นคำปลอบโยนผู้แพ้ที่ทรงพลัง
ผมรักหนังเรื่องนี้ เพราะมันสอนให้ผมรู้จักศรัทธาต่อการมีชีวิต...
3
ข่าวร้ายเกี่ยวกับ “พี่สาว” ที่นำความโศกสลดมาสู่แม่ก็คือ เธอล้มป่วยลงกะทันหันและเสียชีวิตโดยไม่มีใครระแคะระคายมาก่อน แต่พยายามต่อสู้กับโรคร้ายอย่างเงียบ ๆ ด้วยจิตใจอันเข้มแข็ง ไม่ทำตัวเป็นภาระให้ใคร ๆ ต้องคอยห่วงกังวล จนกระทั่งจากไปอย่างรวดเร็ว ดุจดังดาวตกขีดเส้นสุกไสวให้กับผืนฟ้ามืดดำในคืนแรม
แล้วเวลาที่คืบผ่านก็ทำให้ผมค่อย ๆ ลืมเลือนอดีตส่วนนี้ ก่อนจะหวนคืนสู่ห้วงคิดอีกครั้งหลังจากที่ผมได้ดูหนังเรื่อง Pather Panchali ของสัตยาจิต เรย์
Pather Panchali เป็นเรื่องของเด็กชายชื่ออปู ซึ่งเกิดมาในครอบครัวตระกูลพราหมณ์ฐานะยากจน หนังมุ่งแจกแจงรายละเอียดเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ในสังคมชนบท มากกว่าจะเน้นโครงเรื่องให้จับต้อง ส่วนที่งดงามที่สุดก็คือ ความสัมพันธ์ระหว่างพี่สาวกับน้องชาย ทั้งคู่เย้าแหย่ เที่ยวเล่น ทะเลาะเบาะแว้ง แต่ลึก ๆ ก็ผูกพันรักใคร่กันแน่นแฟ้น
เด็กอย่างอปูอยู่ในสภาพอัตคัดไปเสียทุกทาง ได้แต่เฝ้ามองเพื่อน ๆ ในละแวกใกล้บ้านที่มีฐานะดีกว่าเล่นกันอย่างสนุกสนาน ด้วยของเล่นที่เขาไม่มีปัญญาซื้อหา จะมีก็เพียงพี่สาวที่นำพาเอาความน่าตื่นตาตื่นใจมาสู่วัยเยาว์ของเขา เธอชวนน้อยชายลัดเลาะข้ามทุ่งเพื่อรอดูรถไฟวิ่งผ่านหมู่บ้าน เปิดหูเปิดตาให้อปูรู้จักกับความใหญ่ของโลกภายนอก จุดประกายฝันว่าสักวันคงมีโอกาสได้เที่ยวท่องไปยังแห่งหนแปลกใหม่เหล่านั้น
ความทรงจำในชนบทของอปูจบลงอย่างรวดร้าว เมื่อพี่สาวตากฝนและเสียสละเอาผ้าคลุมไหล่มาห่มให้กับน้องชายเพื่อคลายหนาว จนกระทั่งตัวเองตกเป็นฝ่ายล้มป่วย ความจนทำให้ไม่มีเงินไปหาหมอมารักษาเยียวยา สุดท้ายเธอก็เสียชีวิตอย่างน่าเศร้าสลด
“พี่สาว” ในความทรงจำของผมละม้ายใกล้เคียงกับตัวละครในหนัง ทั้งช่วงวัยและจิตใจอันงดงาม รวมถึงชะตากรรมที่ทั้งสองประสบ
อดีตที่หลบเร้นในหลืบมุมลึกจึงผุดพรายไหลหลากขึ้นมาอีกครั้งเมื่อผมได้ดู Pather Panchali และนึกย้อนไปถึงสิ่งดี ๆ ที่ “พี่สาว” เคยหยิบยื่นมอบให้แก่ผม ซึ่งไม่ต่างไปจากการที่พี่สาวพาน้องชายในหนังไปพบเห็นรถไฟเป็นครั้งแรกในชีวิต
ทุกวันนี้หนังสือการ์ตูนเหล่านั้นสูญหายไปหมดแล้ว แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับว่า มันกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำทำให้ผมติดการอ่านหนังสืออย่างงอมแงม จากการ์ตูนสู่นิยาย ขยับขยายไปยังเรื่องแปล ตำรับตำราวิชาการ โยงใยถึงการดูหนังฟังเพลง สั่งสมเป็นแหล่งความรู้ที่ใช้ในการหัดเขียนหนังสือ กระทั่งกลายเป็นอาชีพดังที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน
ใครจะรู้ หากปราศจากเหตุการณ์ครั้งนั้น ชีวิตผมจะหักเหไปเป็นเช่นไร?
4
ในชีวิตที่ผ่านมา ผมได้รู้จักพบพาน “จอร์จ เบลีย์” มากมายหลายคน พวกเขาและเธอล้วนกระทำสิ่งเล็กน้อย ซึ่งดูเผิน ๆ เหมือนไม่สลักสำคัญ แต่ก็ส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อตัวผม
“พี่สาว” คือหนึ่งในจำนวนนั้น
บางห้วงอารมณ์ ผมเชื่อถึงขั้นที่ว่า “พี่สาว” คือ เทวดาไร้ปีกที่ลงมาสู่โลก เพื่อเปลี่ยนวิถีชีวิตผมให้ดำเนินไปสู่เส้นทางอันเหมาะสม
เช่นนี้แล้ว ผมจึงเชื่อว่าชีวิตเป็นเรื่องงดงาม เราก้าวเดินเตาะแตะ ท่ามกลางน้ำใจที่ได้รับการหยิบยื่นจากผู้คนมากมายที่เวียนผ่านเข้ามาข้องแวะ จนเติบโตมั่นคงเพื่อกระทำสิ่งเดียวกันต่อคนอื่น ๆ สานทอก่อลูกโซ่ของ “การรับและการให้” ที่สัมพันธ์กันไม่รู้จบ
เมื่อยามเด็กผมเคยนึกอยากสร้างวีรกรรมใหญ่โต แต่ทุกวันนี้ความคิดดังกล่าวไม่หลงเหลืออีกต่อไป มีเพียงความใฝ่ฝันอยากเป็นคนธรรมดาเช่น “จอร์จ เบลีย์” และ “พี่สาว”
เพราะมี “พี่สาว” เพราะมีเมื่อวาน ผมจึงมีวันนี้...
(เขียนครั้งแรกเมื่อปี 2538 และแก้ไขปรับปรุงขนานใหญ่ในเวลาต่อมา เพื่อนำมารวมอยู่ในหนังสือ “จอมยุทธจับฉ่าย” ภาพที่ผมเลือกมาประกอบบทความชิ้นนี้ ชื่อ Young Woman on the Beach วาดโดย Philip Wilson Steer)
(เขียนครั้งแรกเมื่อปี 2538 และแก้ไขปรับปรุงขนานใหญ่ในเวลาต่อมา เพื่อนำมารวมอยู่ในหนังสือ “จอมยุทธจับฉ่าย” ภาพที่ผมเลือกมาประกอบบทความชิ้นนี้ ชื่อ Young Woman on the Beach วาดโดย Philip Wilson Steer)
1 ความคิดเห็น:
อ่านแล้วน้ำตาซึมครับพี่
แสดงความคิดเห็น