วันอังคารที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2552

เรื่องผีในคืนวันฮัลโลวีน โดย "นรา"


เมื่อคืนวันฮัลโลวีนที่เพิ่งผ่านพ้น แถวบ้านผมฝนตกกระหน่ำหนักและนานต่อเนื่องราวกับฟ้ารั่ว แถมยังมีฟ้าแลบ ฟ้าร้อง รวมทั้งฟ้าผ่ามาเป็นระยะ ๆ คอยเสริมสร้างบรรยากาศในซอยเปลี่ยวให้ใกล้เคียงกับหนังสยองขวัญยิ่งขึ้นไปอีก

ผมเหลียวมองออกทางนอกหน้าต่าง ก็พบว่ามืดสนิทและวังเวง เสาไฟฟ้าที่อยู่เยื้องถัดไปเล็กน้อย ดับลงเหมือนเช่นทุกครั้งที่เจอลมฝนเล่นงาน มิหนำซ้ำไฟฟ้าในบ้านก็ออกอาการวูบวาบ มีไฟตกส่อสัญญาณไม่สู้จะดีนัก ก่อนจะดับให้ใจเสียประมาณหนึ่งวินาที แล้วติดขึ้นใหม่

ราว ๆ สี่ทุ่มครึ่ง กริ่งโทรศัพท์ก็กรีดร้องดังขึ้นอย่างกะทันหัน ทำเอาผมสะดุ้งตกใจ เมื่อรับสายก็ได้ยินเสียงพูดช้า ๆ เนิบ ๆ แผ่ว ๆ และแหบ ๆ ฟังดูเย็นยะเยือกของผู้ชายคนหนึ่ง “พี่...นา..รา...อยู่...มั้ย...คร้าบ...นี่...ผม...เอง...น้า...” (ขออภัยด้วยครับ ที่ถอดสำเนียงออกมาเป็นตัวหนังสือแล้วไม่น่าสะพรึงกลัวเท่าของจริง โปรดใช้ความสามารถเฉพาะตัวในการอ่าน เพื่ออรรถรสที่แซ่บซึ้งยิ่งขึ้น)

ขณะกำลังนึกทบทวนว่า ผู้โทรศัพท์มาหาผมเป็นใคร เสียงดังกล่าวก็พูดต่อไปอีก “ไม่...ได้...เจอ...กัน...นาน...เหงา...มั้ย...อั๊ย...อั๊ย...อั๊ย...” ท้ายคำพูดมีเสียงก้องสะท้อนด้วย ผมคงไม่ได้หูแว่วไปเองหรอก

“ประทานโทษ ผมไม่อยู่ ไม่ทราบว่ามีธุระอะไรจะฝากไว้” ผมพูดตัดบทไม่ให้การสนทนายืดเยื้อ เพราะฟังจากน้ำเสียงแล้ว มีแนวโน้มสูงยิ่งว่า ถ้าไม่เจอผีหลอกสด ๆ ร้อน ๆ ทางโทรศัพท์ก็อาจจะเป็นไปได้ว่า กำลังเผชิญเสียงแบบไม่เห็นหน้ากับพวกโรคจิต

“พี่...อย่า...มา...ทำ...เป็น...ตลก...ฝืด...นี่...ผม...เอง...ตึ๋ง...เอง...คร้าบ...พี่...” ฆาตกรโรคจิตเปิดเผยชื่อเสียงเรียงนามของมัน ตึ๋งเป็นเพื่อนรุ่นน้องที่ไม่ได้เจอกันประมาณเกือบ ๆ ปีแล้ว

“ไอ้ตึ๋ง มึงเล่นบ้า ๆ อะไรหยั่งงี้วะ โทรมาดึกดื่นแล้วยังแกล้งดัดเสียงอีก” ผมโวยวายเพื่อกลบเกลื่อนความกลัว

“เปล่า...ดัด...น้า...พี่...จริง...จริง...น้า...ผม...เป็น...หวัด...เจ็บ...คอ...แค่ก...แค่ก...” ตึ๋งสารภาพถึงเหตุผลที่มาของสำเนียงเสียงพูดแปลก ๆ พร้อมทั้งส่งเสียงไอเป็นหลักฐาน

“เอ็งสบายดีหรือเปล่า เออ เอ็งไม่ต้องตอบหรอก เอ็งเป็นหวัด ไม่ค่อยสบาย ขอเปลี่ยนคำถาม ที่โทรมานี่มีธุระอะไร?”

“วัน...นี้...วัน...ฮาล...โล...วีน...ผม...ก็...เลย...นึก...ถึง...พี่...อยาก...คุย...ด้วย...”

“นึกถึงทำไมวะ” ผมถามพร้อมทั้งแอบเดาในใจว่า สงสัยมันจะชวนออกไปท่องตะลุยราตรี

“เพราะ...หน้า...ตา...พี่...จะ...ไป...เที่ยว...ไหน...ก็...ไป...ได้...เลย...ไม่...ต้อง...ใส่...หน้า...กาก...ปลอม...ตัว...เหอะ....เหอะ...แค่ก...แค่ก...” ตึ๋งอธิบายเสร็จก็ถือโอกาสหัวเราะชอบใจ และไอส่งท้ายเป็นของแถมทางรูหู

“หยุดเลย เอ็งไม่ต้องอธิบายเหตุผลละเอียดนักก็ได้ ขอตัดเข้าประเด็นเลยก็แล้วกัน เอ็งโทรมาทำไม?”

“คือ...ว้า...ผม...สง...สัย...เลย...อยาก...ถาม...พี่...ว้า...พี่...เชื่อ...ว้า...ผี...มี...จริง...รื้อ...เปล่า...?” ตึ๋งเฉลยข้อข้องใจด้วยคำถามที่ทำเอาผมแทบหงายหลัง

“ไม่...ต้อง...ตอบ...ตอน...นี้...ก็...ได้...คิด...ซัก...หน่อย...ฮาล...โล...วีน...ปี...หน้า...ผม...ค่อย...โทร...มา...ถาม...ใหม่...” ว่าแล้วคุณตึ๋งก็วางหูโทรศัพท์จบการสนทนาลงดื้อ ๆ ห้วน ๆ เช่นเดียวกับตอนที่มันโทรมา (ผมเกิดจินตนาการเพิ่มเติม เห็นภาพไอ้ตึ๋งวางหูโทรศัพท์ เอามือปิดปากหัวเราะ หันมาทำหน้าเจ้าเล่ห์ยิ้มให้กับกล้อง)

หลังจากสงบสติอารมณ์จนหายตกใจกลัวแล้ว ผมก็ตัดสินใจเขียนถึงเรื่องนี้ จะเรียกว่าเป็นบทความ “ผีประทาน” ก็ได้เหมือนกัน หากเราจะนับอนุโลมว่าไอ้ตึ๋งเป็นผี

ผมเก็บเอาคำถามของคุณพี่ตึ๋งมานั่งคิดต่อ (ควบคู่กับวางแผนว่า จะต้องหาโอกาสโทรศัพท์ไปแกล้งมันบ้างเป็นการล้างแค้น) ตอบไม่ได้หรอกนะครับว่า เชื่อหรือไม่ในเรื่องภูติผีปีศาจ แต่มั่นใจเต็มร้อยว่า ผมเป็นคนกลัวผี และยินดีมากจากใจจริง ถ้าต่างฝ่ายต่างไม่ต้องเจอะเจอกันเลยตลอดชีวิต

ตัวผมเองนั้นไม่เคยมีประสบการณ์พบพานเรื่องผีลี้ลับใด ๆ ทั้งสิ้น (เหตุการณ์ที่พอจะนับได้ว่า ใกล้เคียงกับการโดนผีหลอกมากสุดก็คือ ได้เจอและรู้จักกับไอ้ตึ๋งนี่แหละครับ) ประมาณว่า คลื่นสัญญาณอยู่คนละขั้ว ไม่สามารถติดต่อสื่อสารกันได้

อย่างไรก็ตาม ผมรู้จักเพื่อนรุ่นพี่ รุ่นเดียวกัน และรุ่นน้องหลายราย ต่างบอกเล่าและยืนยันว่า เคยเจอสิ่งไม่มีชีวิต แต่มีวิญญาณที่เรียกว่า “ผี”

มีทั้งประเภทเจอไม่กี่ครั้ง เจอแบบก้ำกึ่งคลุมเครือ (และสามารถวินิจฉัยได้ทั้งในทางวิทยาศาสตร์หรือไสยศาสตร์) เจอแบบถี่และบ่อย เจอจะแจ้งรุนแรงชนิดที่เป็นผมก็คงจะจับไข้หัวโกร๋น

ในบรรดาคำบอกเล่าทั้งหมด เพื่อนรุ่นพี่ของผมรายหนึ่งได้ถ้วยชนะเลิศ เพราะพบเห็นเป็นประจำทุกค่ำคืนและชัดแจ๋ว

เพื่อนรุ่นพี่ท่านนี้ เป็นเด็กต่างจังหวัด ทุกคืนหลังจากปิดไฟเข้านอน แล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง พี่เขาจะเห็นต้นมะม่วงสูงใหญ่แผ่กิ่งก้านตะคุ่ม ๆ อยู่ท่ามกลางความมืด ห่างออกไปประมาณ 10 กว่าเมตร

ของแถมก็คือ แต่ละคืนบนต้นมะม่วงจะมีโครงกระดูกร่างคนมานั่งเข้าเวรอยู่เป็นประจำ ที่เด็ดกว่านั้น ท่านผียังจ้องมองมาตรงที่พี่เขานอนอยู่ซะด้วย

ครั้งแรกสุดที่เห็น พี่เขากลัวจนไม่กล้าพูดอะไรออกมา ได้แต่นอนจ้องไปเรื่อย ๆ กระทั่งเคลิ้มหลับ

คืนต่อมาและต่อมาเป็นเวลาอีกหลายปี พี่เขาก็ยังคงพบเห็นภาพเดิม ๆ บนต้นมะม่วง ในที่สุดก็คุ้นและชิน จากที่กลัวสุดขีดก็คลี่คลายเป็นเฉย ๆ (ผมฟังเรื่องนี้แล้ว ก็สรุปได้อย่างเดียวว่า ถ้ามันเกิดขึ้นกับตัวผม ก็คงจะย้ายบ้านหนีทันที)

รุ่นพี่คนนี้สังกัดอยู่ในบุคคลจำพวก คลื่นแรงชัดสัญญาณฉับไวกับเรื่องผีลี้ลับนะครับ เท่าที่ผมทราบ จนถึงปัจจุบันพี่เขาก็ยังพบเผชิญกับประสบการณ์หวิวสยิวทรวงอยู่เนือง ๆ จนนับเป็นเหตุการณ์ปกติอย่างหนึ่งในชีวิต

อย่างไรก็ตาม คำบอกเล่าเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องที่ผมฟังมาอีกที ไม่อาจพิสูจน์ทราบได้แน่ชัดว่าเท็จจริงเป็นยังไง

พูดง่าย ๆ ว่า ถ้าวัดประเมินเอาจากตัวผมเป็นเกณฑ์ ผีก็ไม่มีอยู่จริง แต่พอฟังจากคนรอบข้าง ผีก็คงมีจริงและมีเยอะซะด้วย

ผมจึงไม่สามารถฟันธงว่า ผีมีจริงหรือไม่ และพูดได้แค่ว่า เป็นเรื่องที่ผมไม่รู้ ตลอดจนไม่เคยมุ่งหวังจะค้นหาคำตอบ

ที่แน่ ๆ ผมเชื่อว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธรูปตามวัดวาอารามต่าง ๆ, อนุสาวรีย์ของบุคคลสำคัญหลาย ๆ ท่านในประวัติศาสตร์, พระพรหม, พระพิฆเณศ, ศาลเจ้า หรือแม้กระทั่งพระภูมิเจ้าที่ ฯลฯ

ผมไม่ทราบหรอกครับว่า ท่านเหล่านี้จะมีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ใด ๆ บ้างหรือไม่ แต่ในใจก็ได้นับถืออย่างเต็มเปี่ยมว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธ์ ในฐานะสัญลักษณ์ของความดีงามหรือคุณค่าบางประการ การเคารพนับถือกราบไหว้ จึงทำเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตัวเอง มากกว่าจะมีปัจจัยอื่น ๆ ติดพ่วงตามมา

ผมเชื่อว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีอยู่จริง ก็เพราะเมื่อไรก็ตามที่ได้ไหว้เคารพพระพุทธรูปต่าง ๆ ผมจะรู้สึกว่าจิตใจสงบนิ่งขึ้น เกิดสำนึกไปในทางใฝ่ดี รู้ตระหนักว่า อะไรควรทำ อะไรพึงหลีกเลี่ยง ไม่ได้มุ่งบูชาเพื่อจะบนบานศาลกล่าวหวังโชคลาภในทางลัด

ผมได้รับการสั่งสอนตลอดมา ให้เชื่อในเรื่อง พึ่งพาตนเอง อยากได้อะไรก็ให้มุมานะค่อย ๆ สร้างด้วยน้ำพักน้ำแรง สิ่งใดก็ตามที่เคารพนบไหว้ถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งต้องสมควรนอบน้อม ไม่ไปรบกวนพึ่งพาให้ท่านคอยช่วยเหลือ

พูดเช่นนี้ ไม่ได้แปลว่า ตลอดทั้งชีวิตผมจะไม่เคยพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในยามทุกข์เลยนะครับ เคยอยู่เหมือนกัน ตอนที่แม่ผมล้มป่วยนั้น นอกจากจะดูแลรักษาพยาบาลกันตามวิถีทางการแพทย์แล้ว ผมก็ไปไหว้อนุสาวรีย์กรมหลวงชุมพรฯ ที่พณิชยการพระนคร สถานศึกษาเก่าของผม

ไหว้เสร็จผมก็โล่งอกสบายใจ เกิดกำลังใจขึ้นมาฉับพลัน และคิดว่าเพียงเท่านี้ เสด็จเตี่ยก็แสดงถึงความศักดิ์สิทธิ์ออกมาให้เป็นที่ประจักษ์แล้ว (หลังจากนั้นอีกสักพัก อาการป่วยของแม่ผมก็ทุเลา และค่อย ๆ มีสุขภาพแข็งแรงดีขึ้นตามลำดับ)

ผมขอความช่วยเหลือจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่บ้าง ในยามชีวิตประสบเหตุเดือดร้อน เสมือนเป็นอีกที่พึ่งหนึ่งทางใจ และพยายามจะให้อยู่ในขอบเขตเท่าที่จำเป็นเพียงเแค่นี้

นอกจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว ผมยังเชื่ออีกด้วยว่า “เวรกรรมมีจริง” และ “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว”

เป็นความเชื่อที่สามารถตัดรายละเอียดเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ หรืออำนาจพิเศษนอกเหนือธรรมชาติออกไปก็ได้เหมือนกัน

พูดให้ฟังดูเป็นวิทยาศาสตร์สักหน่อยก็คือ มันเป็นเรื่องของ action และ retion มีการกระทำใด ๆ เกิดขึ้น ก็ต้องมีปฏิกิริยาตอบสนองติดตามมา

เรามักจะประเมินผลลัพธ์ของการทำดีทำชั่วคลาดเคลื่อน โดยมองเฉพาะแค่ฐานะมั่งคั่งร่ำรวยล้นฟ้า แต่ข้ามรายละเอียดทางด้านทุกข์สุขในใจ กระทั่งคิดไขว้เขวไปว่า “ทำชั่วแล้วกลับได้ดี”

เชื่อผมเถอะครับว่า เงินซื้อได้เต็มที่ก็แค่ความสะดวกสบายทางด้านวัตถุเท่านั้นเอง และบ่อยครั้งความสะดวกสบายกับความสุข ก็เป็นคนละเรื่องที่แตกต่างห่างกันอยู่ไกล แค่พอมีกินมีใช้โดยไม่เดือดร้อน มีวิธีคิดทัศนคติที่ดี ก็สามารถมีความสุขตามอัตภาพได้แล้วล่ะ

ทุกข์สุขของชีวิตเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในใจ แค่คิดดีหรือคิดชั่วขึ้นมาเพียงแวบเดียว ผลลัพธ์ก็สามารถเกิดขึ้นกับตัวได้อย่างฉับไว ตรงนี้ล่ะครับที่ทำให้ผมเชื่อว่า “เวรกรรมมีจริง” และ “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว”

วันนี้อาตมา...ขอโทษทีครับ...เพลินไปหน่อย ผมขึ้นต้นด้วยเรื่องไอ้ตึ๋ง แต่แล้วก็มาจบลงด้วยการขึ้นธรรมาสน์เทศน์ได้ยังไงก็ไม่รู้




(เขียนเมื่อ 2 พฤศจิกายน 2551 เผยแพร่ครั้งแรกในคอลัมน์ "เป็ดย่างนอกเครื่องแบบ")










1 ความคิดเห็น:

Unknown กล่าวว่า...

ผมติดตามงานเขียนของคุณมาตลอด แต่ไม่มีโอกาสได้เมนต์เสียที ผมคิดว่างานเขียนจากฝีมือการเขียนคุณภาพอย่างนี้ มีไม่กี่คน จะติดตามตลอดไปครับ