ผมไม่ได้อัพเดตบล็อกมานานพอสมควร ด้วยเหตุผลง่าย ๆ สั้น ๆ ครับ คือ มัวสนุกเพลิดเพลินอยู่กับการเที่ยว
จุดเริ่มต้น น่าจะเกิดจากวันที่เพื่อนรุ่นน้องของผมคนหนึ่ง ซึ่งเป็นคนลาว เดินทางจากเวียงจันทน์จะไปทำงานที่หาดใหญ่ ระหว่างมีเวลารอเปลี่ยนขบวนรถไฟประมาณห้าหกชั่วโมงที่กรุงเทพฯ เขาโทรศัพท์มาหาผม เราจึงนัดหมายเจอะเจอกัน
เรื่องราวถัดมา ผมได้เขียนเล่ารายละเอียดไว้ในบทความชื่อ “พบเพื่อพราก จากเพื่อเจอ” ลงในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ
เหตุการณ์วันนั้น ทำให้ผมมีโอกาสได้ไปเที่ยววัดอรุณ ฯ เป็นครั้งแรกในชีวิต ซึ่งผมชื่นชอบประทับใจมาก
พร้อม ๆ กัน ผมก็นึกเจ็บใจตัวเอง ที่ผ่านละแวกนั้นมาหลายปี แต่ก็ไม่เคยคิดจะแวะไปอย่างจริงจัง ด้วยเหตุผลง่าย ๆ ว่า อยู่ใกล้ ไปมาสะดวก อยากจะไปเมื่อไหร่ก็ย่อมได้
ท้ายสุดก็เลยไม่ได้ไปเสียที ต้องรอให้มีเพื่อนจากแดนไกลมาเยี่ยมเยียน จึงค่อยหาเหตุผลแรงจูงใจจนลุล่วงเป็นรูปธรรม
นับจากวันนั้น ผมเปลี่ยนพฤติกรรมตัวเองไปเยอะพอสมควร เวลาผ่านเข้าใกล้แหล่งย่านสถานท่องเที่ยวสำคัญตรงไหนที่น่าสนใจ ถ้าไม่ติดกิจธุระเร่งด่วน ผมก็จะหาโอกาสแวะเข้าเยี่ยมชมทันที
ผลก็คือ ขณะย่ำต๊อกหาข้าวมื้อเย็นแถวเยาวราช เมื่อกินจนอิ่มหนำสำราญ พลันก็เกิดนึกขึ้นได้ว่า มีงานวัดภูเขาทอง ผมก็ตรงดิ่งไปเดินเที่ยวที่นั่นทันที ได้รื้อฟื้นความหลังระลึกชาติย้อนอดีตอีกหลายสิบปี
เหมือนเครื่องยนต์สตาร์ทติดนะครับ หลังจากนั้น ผมก็รั้งไม่หยุด ฉุดไม่อยู่ ไปเดินเล่นหอศิลป์ตรงข้ามมาบุญครอง ไปเที่ยวพิษณุโลกแบบสองวันหนึ่งคืน ขาขึ้นนั่งรถทัวร์ เที่ยวล่องนั่งรถไฟ
เมื่อตอนวัยรุ่น ผมเที่ยวกระจุยกระจาย ทั้งแบบเป็นหมู่คณะ และเดินทางสาขาชายเดี่ยว แต่พอหยุดเว้นวรรคจมปลักอยู่ในกรุงเทพฯ ต่อเนื่องกันหลายปี ผมก็กลายเป็นโรคกลัวการเดินทางท่องเที่ยวคนเดียว ไม่ค่อยกล้าไปไหน ทั้งกลัวเหงา และเกรงว่าจะไม่เหงา
พอได้ไปพิษณุโลกตามลำพัง กลับมาถึงกรุงเทพฯ ผมจึงเกิดภูมิต้านทาน อยู่ในสภาพคึกคักฮึกเหิมสุดขีด กระทั่งใช้เวลาเกือบ ๆ หนึ่งเดือนถัดจากนั้น เที่ยวเยอะกว่าสามปีที่ผ่านมารวมกันเสียอีก
ช่วงเวลาไล่เรี่ยใกล้เคียงกันนั้นเอง เพื่อนคนหนึ่งก็ชักชวนผมเข้าร่วมทีมฟุตบอล ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ผมว่างเว้นมานาน เนื่องจากสภาพร่างกายไม่เอื้ออำนวย
แต่พอได้รับคำชวน ผมก็ประพฤติตนตามสำนวนพ้นยุคที่ว่า “ไม่เจียมบอดี้” ตอบรับทันที
ผ่านพ้นเกมแรกในการหวนกลับมาคืนสนาม ร่างกายของผมก็บอบช้ำปวดเมื่อยไปทั่วทั้งตัว นี่ยังไม่นับรวมคุณภาพฟอร์มการเล่นอันเละเทะตกต่ำสุดขีด และอาการบาดเจ็บแถมพกที่ข้อเท้า
มันเป็นผลมาจากสภาพร่างกายไม่ฟิตนะครับ บวกรวมกับหลายปีมานี้ ผมใช้ชีวิตนั่ง ๆ นอน ๆ และตะกละเห็นแก่กิน น้ำหนักตัวจึงพุ่งพรวดพราดเกินพิกัดอันควรไปร่วม ๆ สิบห้ากิโลกรัม
กล่าวได้ว่า ผมอ่อนซ้อมและร่างกายย่ำแย่ จนแม้แต่นั่งเล่นหมากฮอร์สใต้ต้นไม้ร่มรื่นเย็นสบาย ก็ยังมีเหนื่อยล่ะครับ
เพื่อที่จะสามารถกลับมาเล่นกีฬาที่ผมชื่นชอบโปรดปรานได้อีก ผมจึงเริ่มกิจกรรมเดินออกกำลังกาย (ในระหว่างที่ยังเจ็บข้อเท้า)
เรื่องออกกำลังกายนั้น ก็เข้าข่ายคล้าย ๆ กัน คือ ทำใจลำบากในระยะแรกเริ่ม (สำหรับผม แค่นึกถึงก็เหนื่อยและท้อเรียบร้อยแล้ว) แต่พอฝืนบังคับตัวเองสักสองสามวัน อะไรต่อมิอะไรก็เริ่มเข้าที่เข้าทาง กลายเป็นกิจกรรมเสพติดแบบปราศจากโทษภัยได้อย่างง่ายดาย
ผมก็เลยติดลมทั้งการเที่ยว และการออกกำลังกายตามสวนสาธารณะ (ซึ่งผมมีวิธีแก้เบื่อ ด้วยการย้ายทำเล เปลี่ยนสถานที่ไปเรื่อย ๆ ไม่ซ้ำกัน พูดง่าย ๆ ผมเป็นคนที่ใช้สวนสาธารณะสิ้นเปลืองฟุ่มเฟือยมาก)
เท่านั้นยังไม่พอ ระหว่างลงมือหาข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่เที่ยว (โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ) ผมก็เกิดไปสนใจ ภาพจิตรกรรมฝาผนังที่วัดละแวกฝั่งธนสองสามแห่ง
ความสนใจในจิตรกรรมฝาผนัง แรกเริ่มผมก็คิดว่าสบาย ๆ เพลิน ๆ แค่ไปเดิน ๆ ดู ๆ เท่านั้นก็น่าจะเพียงพอ
แต่แล้วผมก็พบว่า ถ้าจะให้ได้อรรถรสเข้าถึงอย่างลึกซึ้ง ผมควรจะต้องทำการบ้าน ค้นคว้าตระเตรียมข้อมูลให้พร้อมก่อนดู
ทีแรกผมคิดว่า แค่หาหนังสือมาอ่านสองสามเล่มก็น่าจะพอ แต่พอลงมืออ่านเข้าจริง ก็ยิ่งเกิดความอยากรู้อยากเห็น กระทั่งบานปลายไร้ขอบเขตสิ้นสุด
ขนาดอยู่ในระยะเริ่มต้น กิจกรรมนี้ก็ได้ช่วงชิงขโมยเวลาส่วนใหญ่ของผมไปเกือบหมด พูดได้ว่าผมลุ่มหลงถึงขั้นงมงายเป็นเอามากเลยทีเดียว
ทำไปทำมา ผมก็เลยได้ประเด็นและข้อมูลเป็นกระตั้กสำหรับเขียนถึงเรื่องเหล่านี้ เป็นซีรีส์หลายตอนจบ เพื่อลงใน “ผู้จัดการรายวัน” (จนถึงขณะนี้ ผมลงมือเขียนไปได้สามตอนแล้ว แต่ยังไม่ได้ส่งไปตีพิมพ์ เพราะเหตุการณ์ยังไม่คืบหน้าไปถึงไหนเลยครับ)
เหนือสิ่งอื่นใด มันยังกลายเป็นแรงบันดาลใจ ให้ผมอยากเขียนนิยายขึ้นมาอีกหนึ่งเรื่อง ซึ่งเป็นเม็กกะโปรเจ็กท์ที่ต้องหาข้อมูลอย่างละเอียดถี่ถ้วนกันอีกหลายปี (ตอนนี้อาการมันระบาดถึงขั้นทำให้ผมเริ่มลงมืออ่านงานเขียนจำพวก “พระราชพงศาวดาร” แล้วล่ะ)
ผมไม่ยืนยันความเป็นไปได้ เรื่องนิยายที่อยากจะเขียนนี้หรอกนะครับ มีความยากและอุปสรรคอยู่เยอะทีเดียว รวมทั้งปัจจัยภายในคือ อารมณ์กระตือรือล้นของผมเอง ซึ่งอาจจะมอดดับหมดไฟไปก่อนเริ่มลงมือก็ย่อมได้
ทั้งหมดนี้ ผมเขียนอย่างรีบและลวก ภายใต้เวลาอันจำกัด หากอ่านแล้วขรุขระไม่ราบรื่นก็ต้องขออภัยไว้ด้วย เจตนาของผมมีเพียงแค่ อยากจะบอกกล่าวเล่าสู่ต่อมิตรรักแฟนเพลง หมายใจจะให้เป็นการรายงานคร่าว ๆ เท่านั้นเองว่า เหตุใดบล็อกจึงนิ่ง ๆ ไม่ค่อยมีความเคลื่อนไหว และระหว่างนั้นผม “หายหัวหายตัวไปไหน”
ไม่ได้ไปติดค้างลี้ภัยอยู่ต่างประเทศแดนไกลที่ไหนหรอก ยังอยู่ดีมีสุขสำราญและแอบขโมยเวลานอกราชการงานเขียนปกติ ไปเดินสายท่องเที่ยวแทบทุกวัน
มีเรื่องที่ผมอยากเล่าสู่กันฟังเยอะแยะเลยเชียว แต่ยังจัดสรรตารางเวลาไม่ค่อยลงตัวนัก
ช่วงนี้ผมจึงขออนุญาตลาพักร้อนตอนหน้าหนาวอีกสักระยะหนึ่ง หายใจแตกเสียเด็กเมื่อไหร่ จะกลับมาพบปะทุกท่านตามปกติ
ด้วยความคิดถึงอย่างล้นเหลือ และเต็มใจจะเที่ยวเผื่อนะครับ
(เขียนและเผยแพร่ครั้งแรกที่นี่ 9 ธันวาคม 2551)