1
บ่ายวันหนึ่งระหว่างช่วงกลางสัปดาห์ ขณะที่ผมกำลังลงมือทำงานตามปกติในออฟฟิศ โทรทัศน์เครื่องที่อยู่ใกล้ ๆ ก็กำลังออกอากาศหนังทางเคเบิลเรื่อง Castaway ผมก็เลยต้องก้ม ๆ เงย ๆ ระหว่างปั่นต้นฉบับสลับกับติดตามเหตุการณ์บนจอสี่เหลี่ยม
จนกระทั่งถึงฉากนั้น ผมก็ไม่เป็นอันทำงาน ต้องเปลี่ยนมานั่งดู Castaway ด้วยความตั้งใจ
มันเป็นฉากเดียวกับที่เคยทำให้ผมเสียน้ำตา เมื่อครั้งนั่งดูในโรงหนัง
ฉากดังกล่าว เป็นตอนที่พระเอกลอยแพฝ่าคลื่นลมแดดฝนอยู่กลางท้องทะเลจนเหนื่อยล้าหลับไป ก่อนจะตื่นขึ้นมาพบว่า เจ้าวิลสันเพื่อนรัก หลุดออกจากแพลอยหายต่อหน้าต่อตา
วิลสันเป็นเพียงแค่ลูกวอลเลย์บอล แต่ตลอดช่วงเวลาที่ชายหนุ่มติดอยู่บนเกาะร้างตามลำพังเป็นเวลาหลายปี มันคือเพื่อนคลายเหงาเพียงหนึ่งเดียวที่เขาสามารถพูดคุยด้วย
นานวันเข้า วิลสันก็มีบุคลิกของตนเอง และมีชีวิตเลือดเนื้อขึ้นมาในความรู้สึกของชายหนุ่ม ทั้งคู่เป็นเพื่อนสนิทร่วมทุกข์สุข ผ่านการทะเลาะเบาะแว้งและหวนกลับมาปรองดองคืนดีกันนับครั้งไม่ถ้วน
ฉากที่พระเอกของเรื่องพลัดพรากกับวิลสัน ทำให้ผมเศร้าสะเทือนใจเป็นอย่างยิ่ง ส่วนหนึ่งก็เนื่องจากพลังการโน้มน้าวอันเก่งกาจของหนัง แต่อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะผมนำเอาความรู้สึกนึกคิดของตนเองเข้าไปจับต้องเหตุการณ์ดังกล่าว
ตรงนี้ล่ะครับที่ทำให้ผมนึกถึงการจากไปของวิลสันขึ้นมาทีไร ก็เจ็บร้าวบาดลึกทุกครั้ง
2
เมื่อหลายปีก่อน ผมไปรับงาน "ฝิ่น" นอกเหนือจากเขียนที่ทำอยู่เป็นประจำ งานเฉพาะกิจดังกล่าวมีกำหนดต้องชำระสะสางให้เสร็จเรียบร้อยในเวลาอันจำกัด ขณะที่สภาพแวดล้อมรอบ ๆ ตัวในกรุงเทพฯ พลุกพล่านอึกทึกชุลมุนวุ่นวาย จนไม่เอื้ออำนวยให้เกิดความเป็นไปได้หรือคืบหน้าเลยสักนิด
ผมจึงตัดสินใจเดินทางไปเชียงใหม่ เพื่อหามุมสงบสำหรับการทำงานเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์ (ค่าตอบแทนงานชิ้นนั้นค่อนข้างสูง เพียงพอต่อค่ารถ ค่าที่พัก และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ)
งานของผมคืบหน้าด้วยดี แต่พอสี่ห้าวันผ่านไป ผมก็เริ่มอึดอึดเมื่อพบว่า นอกเหนือจากการสั่งอาหารและซื้อของตามร้านค้าแล้ว
หลายวันที่ผ่านมา ผมไม่ได้พูดจาคุยกับใครเลย!!!
นั่นเป็นความทุกข์ทรมานที่ยากจะบรรยาย เหมือนโลกนี้มีผมอยู่เพียงลำพัง ในใจเต็มไปด้วยเรื่องราวหลากหลายที่อยากถ่ายทอดสู่ผู้อื่น แต่ก็ไม่รู้จะระบายให้ใครฟัง
นาทีนั้นผมรู้สึกเหงา โดดเดี่ยว เคว้งคว้าง หวาดกลัวขึ้นมาจับใจ จนไม่สามารถอดทนต่อไปได้อีก
บ่ายวันหนึ่ง ผมจึงหยุดพักการทำงาน นั่งรถไฟเล่นจากเชียงใหม่ไปลำปาง มุ่งหวังเพียงแค่การได้เปลี่ยนบรรยากาศและทิวทัศน์สองข้างทาง อาจช่วยเยียวยาความรู้สึกของผมให้ดีขึ้น
บนขบวนรถชั้น 3 เต็มไปด้วยผู้คนแออัดคับคั่ง เบื้องหน้าผมเป็นป้าแก่ ๆ พร้อมทั้งลูกหลานและสัมภาระพะรุงพะรัง
การเดินทางโดยรถไฟเที่ยวนั้น เริ่มต้นขึ้นด้วยการที่คุณป้าเอ่ยปากถามผมว่า "ไปกรุงเทพฯ เหรอ?"
จากนั้น เมื่อรถไฟเคลื่อนขบวนออกจากสถานี จนกระทั่งถึงลำปาง ผมกับคุณป้าท่านนั้นก็พูดคุยด้วยเรื่องสัพเพเหระทั่วไป โดยแทบจะไม่มีเวลาเหลือบแลดูวิวสองข้างทางเลยแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตาม นั่นเป็นการพูดคุยที่ผมรู้สึกอบอุ่นใจ มีความสุข และจดจำได้มากสุดอีกครั้งในชีวิต
3
หลายคนที่ใกล้ชิดคุ้นเคยกับผม ต่างลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันหลังจากดูหนังเรื่อง Castaway จบลง ว่าวิลสันนั้นเหมือนกับเด็กชาย "พี่หมี"
"พี่หมี" เป็นตุ๊กตาหมีตัวเล็ก ๆ หน้าตาบ้องแบ๊ว ซึ่งร่วมผจญภัยใช้ชีวิตบ้า ๆ บอ ๆ อยู่ร่วมกับผมมาเป็นเวลา 5 ปีกว่า โดยไม่เคยพรากจากกันเลย (ยกเว้นสมัยที่มันยังเด็กแบเบาะอายุประมาณ 6 เดือน พี่หมีมันแกล้งทำตัวบ้องแบ๊วไร้เดียงสาน่ารัก จนเพื่อนผมคนหนึ่งซึ่งทำงานเป็นแอร์โฮสเตส เห็นเข้าก็อดใจไม่ไหว ต้องลักพาตัวพี่หมีไปเที่ยวสวิทซ์เซอร์แลนด์ ฝรั่งเศส และอังกฤษเป็นเวลาหนึ่งเดือน)
เพื่อนผมหลายคนก็เลยพลอยสนิทสนมและให้ความเคารพนับถือปนหมั่นไส้ "พี่หมี" ตามผมไปด้วย
ท้ายที่สุด "พี่หมี" ก็ซึมซับเอานิสัยติงต๊องบ๊อง ๆ บวม ๆ ของใครต่อใครมาผสมผสานปนเปไปหมด จนกระทั่ง "เป็นตัวของตัวเอง" และ "มีชีวิต" โลดแล่นเป็นตุ๊กตาหมีประเภทตลกขบขัน คอยกลั่นแกล้งกวนประสาทชาวบ้านให้ปวดหัวเล่น ๆ
เรื่องน่าตื่นเต้นหวาดเสียว ระหว่างผมกับ "พี่หมี" เกิดขึ้นเมื่อตอนลาพักร้อนไปเที่ยวภูกระดึงปลายปีที่แล้ว ("พี่หมี" รบเร้าขอตามไปด้วย เพราะเข้าใจผิดคิดว่าเป็น "พูห์กระดึง" ซึ่งน่าจะเป็นสถานที่เหมาะสำหรับให้ลูกหมีผจญภัย)
เช้าวันออกเดินทาง ขณะที่ผมและเพื่อนรุ่นน้องอีกสองคนกำลังจะขึ้นรถ ผมก็นึกได้ว่าลืม "พี่หมี" ทิ้งไว้ที่หน้าร้านฟาสต์ฟูดซึ่งเป็นจุดนัดพบ โชคดีที่บริเวณนั้นอยู่ไม่ไกล และยังคงอยู่ในช่วงเช้าตรู่ที่ปลอดจากผู้คนผ่านไปผ่านมา เมื่อวิ่งกลับไปจึงพบ "พี่หมี" ทำหน้าออดอ้อนเรียกคะแนนสงสารอยู่บนโต๊ะ
ผมไม่รู้หรอกนะครับว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง ถ้าเช้าวันนั้นผมลืม "พี่หมี" ทิ้งไว้และหายสาบสูญไป แต่ที่แน่ ๆ คงเป็นเรื่องเศร้ามาก เมื่อนึกถึงความผูกพันที่มีต่อกันตลอด 5 ปีที่ผ่านมา
และความผูกพันนั้นก็คงจะสร้างความทุกข์ใจอย่างใหญ่หลวงให้แก่ผม ถ้าต้องคิดต่อไปอีกว่า "พี่หมี" จะตกระกำลำบากตามลำพังอย่างไรบ้าง?
นี่ยังไม่นับรวมว่า ผมคงหมดกะจิตกะใจไปกับการเที่ยวภูกระดึงแน่นอน
สำหรับผมแล้ว "พี่หมี" เดินทางมาไกลจนไม่ได้เป็นแค่ตุ๊กตาตัวเล็ก ๆ อีกต่อไป แต่เป็น "เพื่อนผู้มีชีวิต"
4
ความรู้สึกนึกคิดที่ผมนำไปทาบจับกับเหตุการณ์ที่วิลสันพลัดพรากจากชายหนุ่มใน Castaway ก็คือ มันเป็นเรื่องน่าเจ็บปวดเศร้าหมองเอามาก ๆ ถ้าหากคนเราต้องตกอยู่ในสภาพโดดเดี่ยวเปลี่ยวเปล่าสุดขีด ไร้คนจะคุยด้วย กระทั่งต้องสร้างบางสิ่งบางอย่างขึ้นมาเป็นสิ่งสมมติ แต่แล้ววันหนึ่งสิ่งนั้นก็พลันพรากจากสูญหายพังทลายไปต่อหน้าต่อตา
อารมณ์ร้าวรันทดที่เกิดคงเทียบได้กับ "ความตายของเพื่อนสนิท"
เพียงแค่ไม่ได้พูดคุยกับผู้คนประมาณสี่ห้าวัน ผมยังทุกข์ทรมานแสนสาหัส ก่อนจะปลดปล่อยคลี่คลายความรู้สึกด้วยการคุยกับป้าคนหนึ่งบนรถไฟ ซึ่งถึงแม้จะเป็นคนแปลกหน้า แต่นาทีนั้นผมรู้สึกเหมือนคุณป้าเป็นญาติสนิทที่คุ้นเคยเพียงคนเดียวบนโลก
ชายหนุ่มกับวิลสันคงต้องผูกพันกันอย่างล้ำลึกยิ่งกว่ามากมายหลายเท่า
เพียงแค่ลืม "พี่หมี" ทิ้งไว้ ผมยังคิดเลยเถิดกลัดกลุ้มไปได้มากมายถึงความทุกข์ในการพลัดพรากที่เกือบจะเกิดขึ้น
เมื่อเทียบกับชายหนุ่มที่ต้องสูญเสียวิลสันไปต่อหน้า และเป็นการพรากจากถาวรตลอดกาล น้ำหนักความสะเทือนใจก็ยิ่งทบทวี
ผมจินตนาการเพิ่มเติมไปว่า เขาคงต้องเจ็บร้าวถึงส่วนลึกของวิญญาณ ทุกครั้งที่หวนนึกถึงชะตากรรมอันเกิดขึ้นกับวิลสัน ด้วยความรัก ความผูกพัน ความห่วงใย ความวิตกกังวล ฯ
แม้ว่าการจากไปของเจ้าวิลสัน จะเป็นแค่เรื่องแต่งขึ้นมาในหนัง แต่ก็มีเหตุผลเยอะแยะมากมายเกินพอที่จะทำให้ผมต้องสะเทือนใจทุกครั้งที่รำลึกถึงเหตุการณ์ดังกล่าว
การคบหาระหว่างผมกับ "พี่หมี" ทำให้ผมเข้าใจเรื่อง "เพื่อนผู้มีชีวิต" ดีพอสมควรทีเดียว
(เขียนเมื่อ 26 กรกฎาคม 2545 เผยแพร่ครั้งแรกในคอลัมน์ "เขียนคาบเส้น" เว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์ แก้ไขขัดเกลาเพิ่มเติมเนื้อความอีกเยอะพอสมควรในการเผยแพร่ครั้งนี้ นี่เป็นบทความอีกชิ้นที่ไม่ได้รวมอยู่ใน "ข้าวมันเป็ด" ด้วยเหตุผลที่แย่อยู่สักหน่อยคือ ผมทำต้นฉบับหาย และเพิ่งมาค้นเจอ พี่หมีมันบ่นอุบอิบเลยครับ ว่าผมกลั่นแกล้งสกัดดาวรุ่ง)
4 ความคิดเห็น:
ฮ่าๆ พี่ทำแบบนี้ ผมสงสารพี่หมีนะครับ :p
ตามมาอ่าน ขยันอัพมากๆเลยครับพี่ ^^
สวัสดีครับพี่นรา
ตอนที่ Behind enimy lines เอา วิลสัน มาล้อฉากหนึ่ง ผมแอบเคืองเลย
สวัสดีครับ ผมชื่นชมในการเขียนของพี่มากครับ อัพบ่อยๆนะครับ
ถือโอกาสพูดคุยทักทายรวดเดียวกับทุกท่านเลยก็แล้วกัน
ผมรู้สึกผิดจัง ที่เป็นเจ้าของบ้านแบบขี้เกียจต้อนรับขับสู้แขกเหรื่อ พอดียุ่ง ๆ เรื่องงานนะครับ
พี่หมีของผมฝากขอบคุณคุณ soundsyndrome กับคุณพอกลอน ซาเสียง มาด้วย (ผมแอบเข้าไปอ่านบล็อกของคุณทั้งสองเหมือนกันในยามว่าง)
ผมจะพยายามอัพเดตบ่อย ๆ เท่าที่จะทำได้
ขอให้ทุกท่านได้รับความเพลิดเพลิน และไม่เซ็งกับสถานการณ์บ้านเมืองจนเกินไป
แสดงความคิดเห็น