1
ในเรื่อง “สามก๊ก” ช่วงที่สะท้อนบทบาทของท่านกวนอูได้จับใจมากสุด เริ่มต้นจากสามพี่น้องร่วมสาบาน เล่าปี่ กวนอู เตียวหุย ประสบเหตุพรากจากกัน
กวนอูถูกเงื่อนไขเกี่ยวกับความปลอดภัยของพี่สะใภ้ (ซึ่งเล่าปี่ฝากฝังให้ดูแล) บีบบังคับให้ต้องสวามิภักดิ์ต่อโจโฉ
อย่างไรก็ตาม กวนอูขอคำมั่นสัญญา 3 ข้อให้โจโฉรับปากเสียก่อน จึงจะยินยอมตกลงปลงใจ
ประการแรก กวนอูถือตนเองเป็นข้ารับใช้พระเจ้าเหี้ยนเต้ ไม่ใช่บริวารในสังกัดของโจโฉ
ข้อถัดมา เป็นการยืนยันขอคำมั่นในด้านความปลอดภัยของพี่สะใภ้
สุดท้าย วันใดที่รู้ข่าวว่าเล่าปี่อยู่แห่งหนใด กวนอูสามารถเป็นฝ่ายไปได้ทันที โดยไม่ต้องล่ำลาหรือขอคำอนุญาตจากโจโฉ
ระหว่างนั้น โจโฉก็ทำทุกวิถีทางเพื่อ “ซื้อใจ” ของกวนอู ทั้งการเลี้ยงดูอย่างดี ปูนบำเหน็จลาภยศต่าง ๆ มากมาย ไปจนถึงขั้นวางอุบายให้กวนอูมีโอกาสใกล้ชิดพี่สะใภ้ หวังให้สองฝ่ายประพฤติผิดทางชู้สาว เพื่อเป็นเหตุแตกหักผิดใจกับเล่าปี่
ทั้งหมดนี้กลับไม่ประสบผล เพราะกวนอูแสดงความซื่อสัตย์ภักดีมั่นคง จนไม่มีสิ่งใดสามารถสั่นคลอนให้เปลี่ยนแปลง
ต่อมา กวนอูทราบข่าวเกี่ยวกับเล่าปี่ จึงเข้าพบเพื่ออำลาโจโฉถึง 2 ครั้ง 2 ครา แต่อีกฝ่ายกลับหลบเลี่ยง เพื่อหน่วงเหนี่ยวรั้งตัวไว้
ท้ายที่สุดกวนอูจึงเขียนหนังสือชี้แจงเหตุผล ส่งมอบทรัพย์สินที่โจโฉเคยมอบให้คืนแก่เจ้าของเดิม และพาครอบครัวของเล่าปี่ออกเดินทาง พร้อมทหารอีกเพียง 12 คน เผชิญอุปสรรคอันตรายมากมาย ฝ่าด่าน-ที่มีไพร่พลเยอะกว่าชนิดเทียบกันไม่ได้-อยู่หลายครั้งหลายคราว รวมทั้งเจอการโน้มน้าวชักจูงจิตใจส่งท้ายจากโจโฉ
ยิ่งกว่านั้น เมื่อหลุดพ้นเงื้อมมือฝ่ายตรงข้ามได้แล้ว ยังต้องรอนแรมระหกระเหินบนเส้นทางกันดารยาวไกล รวมถึงโดนเตียวหุยโกรธแค้นเข้าใจผิดอีกต่างหาก
ท่านกวนอูผ่านบททดสอบอันหนักหน่วง ด้วยฝีมือเชิงรบล้ำเลิศและคุณธรรมอันยิ่งใหญ่ จนแม้แต่โจโฉเองยังต้องเอ่ยตัดพ้อว่า “เราเป็นคนบุญน้อย จึงมิได้ท่านไว้สมปรารถนา”
วีรกรรมดังกล่าวของท่านกวนอู ได้รับการเรียกขานสั้น ๆ ว่า “ควบอาชาโดดเดี่ยวพันลี้”
2
ท่ามกลางเรื่องราวสู้รบช่วงชิงอำนาจ เต็มไปด้วยเล่ห์อุบายหักโค่นกันเกือบตลอดเวลา วีรกรรมของท่านกวนอู เป็นหนึ่งใน “แสงสว่าง” ที่สะท้อนถึงคุณธรรมดีงาม ความซื่อสัตย์ภักดี และการเสียสละตนเองอย่างถึงที่สุด
“ควบอาชาโดดเดี่ยวพันลี้” จึงเป็นเรื่องราวตอนหนึ่งใน “สามก๊ก” ที่ได้รับความนิยม และจับใจผู้คน
รวมทั้งเปลี่ยนสถานะท่านกวนอู จาก “นักรบ” มาเป็น “เทพเจ้าแห่งความซื่อสัตย์” ที่ชนรุ่นหลังเคารพยกย่องเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
“ควบอาชาโดดเดี่ยวพันลี้” เป็นเรื่องหนึ่งที่ได้รับความนิยมอันดับต้น ๆ ของศิลปะการแสดงที่เรียกกันว่า นัวซี (Nuo Xi หรือ Nuo Opera) หรือ “งิ้วสวมหน้ากาก” ซึ่งเป็นงิ้วพื้นบ้านที่แพร่หลายในมณฑลยูนนาน ทางแถบตะวันตกเฉียงใต้ของจีน
ความเป็นมาอันเก่าแก่ยาวนานร่วมสามพันปี และยังดำรงคงอยู่มาจนถึงปัจจุบันของงิ้วสวมหน้ากาก ทำให้เกิดฉายาเรียกขานว่า นัวซีเป็น “ซากดึกดำบรรพ์ที่ยังมีชีวิต”
แรกเริ่มนัวซีเป็นพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์อย่างหนึ่ง เพื่อขับไล่ภูตผีปีศาจและโรคระบาดให้ไปไกลจากหมู่บ้าน ทว่าโดยการเปลี่ยนผ่านขัดเกลาของกาลเวลา ต่อมาจึงค่อย ๆ คลี่คลายมาเป็นศิลปะการแสดง
หัวใจสำคัญของนัวซีก็คือ การขับร้องด้วยน้ำเสียงท่วงทำนองคาบเกี่ยวก้ำกึ่งกัน ระหว่างบทสวดกับบทเพลง ที่ให้ความรู้สึกลี้ลับ และด้วยเหตุที่ผู้แสดงต้องสวมหน้ากาก การขับร้องจึงเน้นหนักไปยังการถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกโศกสุขเศร้าสะเทือนใจ จากความจริงเบื้องลึกภายในของผู้แสดง
กล่าวอีกแบบคือ นัวซี เป็นการแสดงที่เน้น “ความจริงภายใน” มากกว่าความสมจริงของรูปลักษณ์ภายนอก
3
Riding Alone for Thousands of Miles เป็นหนังปี 2005 กำกับโดยจางอี้โหมว
เนื้อเรื่องกล่าวถึง ชายชราชาวญี่ปุ่นชื่อทาคาตะ ซึ่งมีความสัมพันธ์ไม่ลงรอยกับลูกชายชื่อเคนอิจิ ทั้งคู่ทำตัวห่างเหินเย็นชาต่อกันยิ่งกว่าคนแปลกหน้า
จนกระทั่งเคนอิจิป่วยเข้าโรงพยาบาล ริเอะภรรยาของเขา จึงอ้อนวอนพ่อสามีให้เดินทางมาเยี่ยมเยียน แต่เคนอิจิก็ขับไล่ไสส่งไม่ยอมให้พ่อเข้าพบ
ก่อนเดินทางกลับ ริเอะได้ขอร้องให้ทาคาตะช่วยดูวิดีโอม้วนหนึ่ง ด้วยเหตุผลว่า มันอาจช่วยให้ผู้เฒ่าได้รู้จักบุตรชายดีขึ้นกว่าเดิม
วิดีโอที่เคนอิจิถ่ายไว้ บันทึกเหตุการณ์เมื่อครั้งที่เขาเดินทางไปยูนนาน เก็บภาพการแสดงงิ้วสวมหน้ากาก ช่วงท้ายของม้วนเทป นักแสดงชาวจีนชื่อหลี่เจียหมินกล่าวว่า เขาถนัดสันทัดเป็นพิเศษกับการแสดงเรื่อง “ควบอาชาโดดเดี่ยวพันลี้” แต่วันนี้เสียงแหบแพร่ ไม่อาจน้อมสนองได้ หากเคนอิจิเดินทางมาจีนในคราวต่อไป เขารับปากว่าจะขับร้องให้ชมสุดฝีมือ
เคนอิจิไม่สามารถเดินทางไปจีนได้อีก ซ้ำร้ายจากผลการตรวจวินิจฉัย ชายหนุ่มเป็นมะเร็งตับขั้นสุดท้าย
ทาคาตะจึงเกิดความคิดฉับพลันที่จะเดินทางไปจีน เพื่อถ่ายภาพหลี่เจียหมินแสดงงิ้ว “ควบอาชาโดดเดี่ยวพันลี้” สานต่อภารกิจที่ยังค้างคาของบุตรชาย เพราะนั่นอาจเป็นหนทางหนึ่ง ซึ่งเขาสามารถแสดงความรักต่อลูกที่กำลังจะตาย
การเดินทางที่ดูเหมือนจะง่าย กลับพลิกผันบานปลายกลายเป็นยุ่งยาก เมื่อหลี่เจียหมินก่อคดีทะเลาะวิวาททำร้ายร่างกาย ต้องโทษติดคุก 3 ปี
ทาคาตะต้องขยายเวลาอยู่ที่จีนอย่างไม่มีกำหนด ปราศจากไกด์นำทาง มีเพียงหนุ่มท้องถิ่นชื่อชิวหลิน ซึ่งพูดญี่ปุ่นได้น้อยนิด คอยให้ความช่วยเหลือ
ชายต่างวัยต่างเชื้อชาติทั้งสอง เดินเรื่องติดต่อขอเข้าเยี่ยมนักโทษ เพื่อถ่ายวิดีโอหลี่เจียหมินแสดงงิ้ว เผชิญกับความซับซ้อนวุ่นวายของระบบราชการหลายขั้นตอน กว่าจะสามารถโน้มน้าวอธิบายเหตุผล (ท่ามกลางอุปสรรคสำคัญคือ ภาษา) จนได้รับอนุญาตในท้ายที่สุด
ทว่าสถานการณ์ก็หักมุมอีก หลี่เจียหมินคิดถึงลูกชายนอกสมรสของตนเอง กระทั่งทุกข์ตรมเศร้าหมอง ไม่อยู่ในอารมณ์ที่สามารถขับร้องแสดงงิ้ว
ทาคาตะจึงต้องออกเดินทางไปยังหมู่บ้านอันกันดารห่างไกล เพื่อค้นหาและนำตัวลูกชายของหลี่เจียหมินมาพบหน้าพ่อในเรือนจำ
4
มีความเกี่ยวโยงหลายชั้น ระหว่างวีรกรรมท่านกวนอู, การแสดงงิ้วสวมหน้ากาก, และการเดินทางมาจีนของทาคาตะ
เหตุการณ์ในสามก๊กและเรื่องของชายชราชาวญี่ปุ่น ล้วนเป็นการเดินทางไกล ท่ามกลางอุปสรรคปัญหาสารพัด
เหตุต่าง ๆ ที่ผ่านพบตามรายทาง มีส่วนโน้มนำเบื้องลึกภายในให้ปรากฎฉายชัดออกมา ท่านกวนอูต้องตีแผ่เปิดเผยให้เห็นถึงความซื่อสัตย์ภักดี ขณะที่ทาคาตะค่อย ๆ สะท้อนถึงความรักอันลึกซึ้งที่มีต่อบุตรชาย
ที่สำคัญ มันเป็นการเดินทางไกลอย่างโดดเดี่ยวแปลกแยก โดยมีเป้าหมายใกล้เคียงกัน นั่นคือ การกระทำและเสียสละ เพื่อกลับไปหาคนที่ตนเองรัก
ชั้นเชิงถัดมาของหนังเรื่อง Riding Alone for Thousands of Miles ก็คือ ใช้การเดินทางในสภาพแวดล้อมแปลกถิ่นต่างภาษา เพื่อเปรียบเปรยความสัมพันธ์ระหว่างสองพ่อลูก
เมื่อทาคาตะต้องตกอยู่ในสภาพโดดเดี่ยวแปลกแยก ไม่สามารถพูดจาสื่อสารกับคนรอบข้าง สภาพเช่นนี้ทำให้เขาคืบหน้าใกล้ชิดลูกชายยิ่งกว่าเดิม ได้สัมผัสอารมณ์ความรู้สึก ได้รู้จัก และเข้าใจถึงสภาพที่เกิดขึ้นกับเคนอิจิ เมื่อครั้งต้องใช้ชีวิตเปล่าเปลี่ยวตามลำพังในจีน
พร้อม ๆ กันนั้น ตัวนักแสดงงิ้วอย่างหลี่เจียหมิน, ไกด์ท้องถิ่นชื่อชิวหลิน, รวมถึงเด็กชายหยางหยางที่เป็นเป้าหมายของการเดินทางไกล ล้วนเป็นตัวละครที่ส่งผลสะเทือนต่อความเปลี่ยนแปลงของผู้เฒ่าทาคาตะ
หลี่เจียหมินนั้นเป็นด้านตรงกันข้ามของทาคาตะ เขาแสดงอารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ ที่มีต่อบุตรชายอย่างเด่นชัดไม่ปิดบัง สามารถร่ำไห้โอดครวญ ตีอกชกหัวโดยไม่อับอายใคร ขณะที่ชายชราชาวญี่ปุ่น ซ่อนความรักความปรารถนาดีเอาไว้ในท่าทีสงบนิ่ง จนกลายเป็นความคุ้นชินเย็นชา (นี่ยังไม่นับรวมแง่มุมเปรียบเปรยที่ว่า ทั้งคู่ต่างมีลูกชายและต้องพลัดพรากจากกัน)
หนุ่มท้องถิ่นชื่อชิวหลิน เป็นภาพเปรียบอีกประการ ในแง่การสื่อสารทำความเข้าใจที่ล้มเหลว เนื่องจากอุปสรรคทางด้านภาษา ความจริงข้อนี้ยิ่งน่าเจ็บปวด เมื่อย้อนนึกไปถึงทาคาตะกับลูกชาย ซึ่งพูดภาษาเดียวกัน แต่กลับเพิกเฉยให้แก่การสื่อสารทำความเข้าใจ
ทาคาตะกับชิวหลินนั้น แม้จะพูดคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตลอดเวลาก็คือ ทั้งสองฝ่ายพยายามใช้วิธีต่าง ๆ สื่อสารกัน ทั้งโดยภาษาญี่ปุ่นซึ่งหนุ่มจีนรอบรู้จำกัด การออกท่าทางใช้ภาษาใบ้ การจดบันทึกถ้อยคำสำคัญ เพื่อหาผู้รู้จริงมาแปลให้ภายหลัง ฯลฯ
ส่วนเด็กชายหยางหยาง ช่วงเวลาหนึ่งคืนที่เจ้าหนูกับชายชรา หลงทางด้วยกันในหุบเขาโตรกผา เด็กชายมีบทบาทสำคัญในการฟื้นฟู “ความเป็นพ่อ” ที่ว่างเว้นขาดหายไปนานของทาคาตะ ให้กลับมาเต็มพร้อมสมบูรณ์อีกครั้ง
ด้านความเชื่อมโยงกับงิ้วหน้ากาก ขั้นต้นมันปรากฎผ่านคำสารภาพในจดหมายของเคนอิจิว่า เขาไม่ได้ชื่นชอบเพราะแง่มุมทางศิลปะ แต่ด้วยเหตุผลส่วนตัวคือ เขารู้สึกว่าตนเองก็สวมหน้ากากใบหนึ่งเอาไว้อยู่ตลอดเวลา เพื่อปกปิดอำพรางความรู้สึกแท้จริงบางอย่าง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสวมหน้ากาก ขึ้นมาขวางกั้นความสัมพันธ์กับพ่อ
ลำดับถัดมา ในการมาเยือนจีนของทาคาตะ ชายชราได้รับบทเรียนสำคัญผ่านงิ้ว “ควบอาชาโดดเดี่ยวพันลี้” นั่นคือ แม้ผู้แสดงจะสวมหน้ากาก แต่โดยการขับร้องนั้น ต้องสะท้อนความรู้สึกแท้จริงในใจออกมา
ทาคาตะผ่านวิบากกรรมต่าง ๆ เพื่อบันทึกภาพการแสดงงิ้วหน้ากาก แต่ลึก ๆ แล้วผลพวงสืบเนื่อง กลับเป็นการปลดเปลื้องหน้ากากของตน ทลายกำแพงที่กั้นขวาง กระทั่งสามารถหวนกลับมาเข้าถึงลูกชายได้อีกครั้ง
ในแง่นี้ ทาคาตะได้ “ควบอาชาโดดเดี่ยวพันลี้” พลัดพรากจากบ้านเป็นระยะทางไกลลิบ เพียงเพื่อท้ายที่สุดแล้ว เขาจะได้ “กลับบ้าน” คืนสู่ความเป็นครอบครัวอีกครั้ง
(เขียนเมื่อ 18 สิงหาคม 2550 เผยแพร่ครั้งแรกในคอลัมน์ “เงาของหนัง” หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน)
ในเรื่อง “สามก๊ก” ช่วงที่สะท้อนบทบาทของท่านกวนอูได้จับใจมากสุด เริ่มต้นจากสามพี่น้องร่วมสาบาน เล่าปี่ กวนอู เตียวหุย ประสบเหตุพรากจากกัน
กวนอูถูกเงื่อนไขเกี่ยวกับความปลอดภัยของพี่สะใภ้ (ซึ่งเล่าปี่ฝากฝังให้ดูแล) บีบบังคับให้ต้องสวามิภักดิ์ต่อโจโฉ
อย่างไรก็ตาม กวนอูขอคำมั่นสัญญา 3 ข้อให้โจโฉรับปากเสียก่อน จึงจะยินยอมตกลงปลงใจ
ประการแรก กวนอูถือตนเองเป็นข้ารับใช้พระเจ้าเหี้ยนเต้ ไม่ใช่บริวารในสังกัดของโจโฉ
ข้อถัดมา เป็นการยืนยันขอคำมั่นในด้านความปลอดภัยของพี่สะใภ้
สุดท้าย วันใดที่รู้ข่าวว่าเล่าปี่อยู่แห่งหนใด กวนอูสามารถเป็นฝ่ายไปได้ทันที โดยไม่ต้องล่ำลาหรือขอคำอนุญาตจากโจโฉ
ระหว่างนั้น โจโฉก็ทำทุกวิถีทางเพื่อ “ซื้อใจ” ของกวนอู ทั้งการเลี้ยงดูอย่างดี ปูนบำเหน็จลาภยศต่าง ๆ มากมาย ไปจนถึงขั้นวางอุบายให้กวนอูมีโอกาสใกล้ชิดพี่สะใภ้ หวังให้สองฝ่ายประพฤติผิดทางชู้สาว เพื่อเป็นเหตุแตกหักผิดใจกับเล่าปี่
ทั้งหมดนี้กลับไม่ประสบผล เพราะกวนอูแสดงความซื่อสัตย์ภักดีมั่นคง จนไม่มีสิ่งใดสามารถสั่นคลอนให้เปลี่ยนแปลง
ต่อมา กวนอูทราบข่าวเกี่ยวกับเล่าปี่ จึงเข้าพบเพื่ออำลาโจโฉถึง 2 ครั้ง 2 ครา แต่อีกฝ่ายกลับหลบเลี่ยง เพื่อหน่วงเหนี่ยวรั้งตัวไว้
ท้ายที่สุดกวนอูจึงเขียนหนังสือชี้แจงเหตุผล ส่งมอบทรัพย์สินที่โจโฉเคยมอบให้คืนแก่เจ้าของเดิม และพาครอบครัวของเล่าปี่ออกเดินทาง พร้อมทหารอีกเพียง 12 คน เผชิญอุปสรรคอันตรายมากมาย ฝ่าด่าน-ที่มีไพร่พลเยอะกว่าชนิดเทียบกันไม่ได้-อยู่หลายครั้งหลายคราว รวมทั้งเจอการโน้มน้าวชักจูงจิตใจส่งท้ายจากโจโฉ
ยิ่งกว่านั้น เมื่อหลุดพ้นเงื้อมมือฝ่ายตรงข้ามได้แล้ว ยังต้องรอนแรมระหกระเหินบนเส้นทางกันดารยาวไกล รวมถึงโดนเตียวหุยโกรธแค้นเข้าใจผิดอีกต่างหาก
ท่านกวนอูผ่านบททดสอบอันหนักหน่วง ด้วยฝีมือเชิงรบล้ำเลิศและคุณธรรมอันยิ่งใหญ่ จนแม้แต่โจโฉเองยังต้องเอ่ยตัดพ้อว่า “เราเป็นคนบุญน้อย จึงมิได้ท่านไว้สมปรารถนา”
วีรกรรมดังกล่าวของท่านกวนอู ได้รับการเรียกขานสั้น ๆ ว่า “ควบอาชาโดดเดี่ยวพันลี้”
2
ท่ามกลางเรื่องราวสู้รบช่วงชิงอำนาจ เต็มไปด้วยเล่ห์อุบายหักโค่นกันเกือบตลอดเวลา วีรกรรมของท่านกวนอู เป็นหนึ่งใน “แสงสว่าง” ที่สะท้อนถึงคุณธรรมดีงาม ความซื่อสัตย์ภักดี และการเสียสละตนเองอย่างถึงที่สุด
“ควบอาชาโดดเดี่ยวพันลี้” จึงเป็นเรื่องราวตอนหนึ่งใน “สามก๊ก” ที่ได้รับความนิยม และจับใจผู้คน
รวมทั้งเปลี่ยนสถานะท่านกวนอู จาก “นักรบ” มาเป็น “เทพเจ้าแห่งความซื่อสัตย์” ที่ชนรุ่นหลังเคารพยกย่องเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
“ควบอาชาโดดเดี่ยวพันลี้” เป็นเรื่องหนึ่งที่ได้รับความนิยมอันดับต้น ๆ ของศิลปะการแสดงที่เรียกกันว่า นัวซี (Nuo Xi หรือ Nuo Opera) หรือ “งิ้วสวมหน้ากาก” ซึ่งเป็นงิ้วพื้นบ้านที่แพร่หลายในมณฑลยูนนาน ทางแถบตะวันตกเฉียงใต้ของจีน
ความเป็นมาอันเก่าแก่ยาวนานร่วมสามพันปี และยังดำรงคงอยู่มาจนถึงปัจจุบันของงิ้วสวมหน้ากาก ทำให้เกิดฉายาเรียกขานว่า นัวซีเป็น “ซากดึกดำบรรพ์ที่ยังมีชีวิต”
แรกเริ่มนัวซีเป็นพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์อย่างหนึ่ง เพื่อขับไล่ภูตผีปีศาจและโรคระบาดให้ไปไกลจากหมู่บ้าน ทว่าโดยการเปลี่ยนผ่านขัดเกลาของกาลเวลา ต่อมาจึงค่อย ๆ คลี่คลายมาเป็นศิลปะการแสดง
หัวใจสำคัญของนัวซีก็คือ การขับร้องด้วยน้ำเสียงท่วงทำนองคาบเกี่ยวก้ำกึ่งกัน ระหว่างบทสวดกับบทเพลง ที่ให้ความรู้สึกลี้ลับ และด้วยเหตุที่ผู้แสดงต้องสวมหน้ากาก การขับร้องจึงเน้นหนักไปยังการถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกโศกสุขเศร้าสะเทือนใจ จากความจริงเบื้องลึกภายในของผู้แสดง
กล่าวอีกแบบคือ นัวซี เป็นการแสดงที่เน้น “ความจริงภายใน” มากกว่าความสมจริงของรูปลักษณ์ภายนอก
3
Riding Alone for Thousands of Miles เป็นหนังปี 2005 กำกับโดยจางอี้โหมว
เนื้อเรื่องกล่าวถึง ชายชราชาวญี่ปุ่นชื่อทาคาตะ ซึ่งมีความสัมพันธ์ไม่ลงรอยกับลูกชายชื่อเคนอิจิ ทั้งคู่ทำตัวห่างเหินเย็นชาต่อกันยิ่งกว่าคนแปลกหน้า
จนกระทั่งเคนอิจิป่วยเข้าโรงพยาบาล ริเอะภรรยาของเขา จึงอ้อนวอนพ่อสามีให้เดินทางมาเยี่ยมเยียน แต่เคนอิจิก็ขับไล่ไสส่งไม่ยอมให้พ่อเข้าพบ
ก่อนเดินทางกลับ ริเอะได้ขอร้องให้ทาคาตะช่วยดูวิดีโอม้วนหนึ่ง ด้วยเหตุผลว่า มันอาจช่วยให้ผู้เฒ่าได้รู้จักบุตรชายดีขึ้นกว่าเดิม
วิดีโอที่เคนอิจิถ่ายไว้ บันทึกเหตุการณ์เมื่อครั้งที่เขาเดินทางไปยูนนาน เก็บภาพการแสดงงิ้วสวมหน้ากาก ช่วงท้ายของม้วนเทป นักแสดงชาวจีนชื่อหลี่เจียหมินกล่าวว่า เขาถนัดสันทัดเป็นพิเศษกับการแสดงเรื่อง “ควบอาชาโดดเดี่ยวพันลี้” แต่วันนี้เสียงแหบแพร่ ไม่อาจน้อมสนองได้ หากเคนอิจิเดินทางมาจีนในคราวต่อไป เขารับปากว่าจะขับร้องให้ชมสุดฝีมือ
เคนอิจิไม่สามารถเดินทางไปจีนได้อีก ซ้ำร้ายจากผลการตรวจวินิจฉัย ชายหนุ่มเป็นมะเร็งตับขั้นสุดท้าย
ทาคาตะจึงเกิดความคิดฉับพลันที่จะเดินทางไปจีน เพื่อถ่ายภาพหลี่เจียหมินแสดงงิ้ว “ควบอาชาโดดเดี่ยวพันลี้” สานต่อภารกิจที่ยังค้างคาของบุตรชาย เพราะนั่นอาจเป็นหนทางหนึ่ง ซึ่งเขาสามารถแสดงความรักต่อลูกที่กำลังจะตาย
การเดินทางที่ดูเหมือนจะง่าย กลับพลิกผันบานปลายกลายเป็นยุ่งยาก เมื่อหลี่เจียหมินก่อคดีทะเลาะวิวาททำร้ายร่างกาย ต้องโทษติดคุก 3 ปี
ทาคาตะต้องขยายเวลาอยู่ที่จีนอย่างไม่มีกำหนด ปราศจากไกด์นำทาง มีเพียงหนุ่มท้องถิ่นชื่อชิวหลิน ซึ่งพูดญี่ปุ่นได้น้อยนิด คอยให้ความช่วยเหลือ
ชายต่างวัยต่างเชื้อชาติทั้งสอง เดินเรื่องติดต่อขอเข้าเยี่ยมนักโทษ เพื่อถ่ายวิดีโอหลี่เจียหมินแสดงงิ้ว เผชิญกับความซับซ้อนวุ่นวายของระบบราชการหลายขั้นตอน กว่าจะสามารถโน้มน้าวอธิบายเหตุผล (ท่ามกลางอุปสรรคสำคัญคือ ภาษา) จนได้รับอนุญาตในท้ายที่สุด
ทว่าสถานการณ์ก็หักมุมอีก หลี่เจียหมินคิดถึงลูกชายนอกสมรสของตนเอง กระทั่งทุกข์ตรมเศร้าหมอง ไม่อยู่ในอารมณ์ที่สามารถขับร้องแสดงงิ้ว
ทาคาตะจึงต้องออกเดินทางไปยังหมู่บ้านอันกันดารห่างไกล เพื่อค้นหาและนำตัวลูกชายของหลี่เจียหมินมาพบหน้าพ่อในเรือนจำ
4
มีความเกี่ยวโยงหลายชั้น ระหว่างวีรกรรมท่านกวนอู, การแสดงงิ้วสวมหน้ากาก, และการเดินทางมาจีนของทาคาตะ
เหตุการณ์ในสามก๊กและเรื่องของชายชราชาวญี่ปุ่น ล้วนเป็นการเดินทางไกล ท่ามกลางอุปสรรคปัญหาสารพัด
เหตุต่าง ๆ ที่ผ่านพบตามรายทาง มีส่วนโน้มนำเบื้องลึกภายในให้ปรากฎฉายชัดออกมา ท่านกวนอูต้องตีแผ่เปิดเผยให้เห็นถึงความซื่อสัตย์ภักดี ขณะที่ทาคาตะค่อย ๆ สะท้อนถึงความรักอันลึกซึ้งที่มีต่อบุตรชาย
ที่สำคัญ มันเป็นการเดินทางไกลอย่างโดดเดี่ยวแปลกแยก โดยมีเป้าหมายใกล้เคียงกัน นั่นคือ การกระทำและเสียสละ เพื่อกลับไปหาคนที่ตนเองรัก
ชั้นเชิงถัดมาของหนังเรื่อง Riding Alone for Thousands of Miles ก็คือ ใช้การเดินทางในสภาพแวดล้อมแปลกถิ่นต่างภาษา เพื่อเปรียบเปรยความสัมพันธ์ระหว่างสองพ่อลูก
เมื่อทาคาตะต้องตกอยู่ในสภาพโดดเดี่ยวแปลกแยก ไม่สามารถพูดจาสื่อสารกับคนรอบข้าง สภาพเช่นนี้ทำให้เขาคืบหน้าใกล้ชิดลูกชายยิ่งกว่าเดิม ได้สัมผัสอารมณ์ความรู้สึก ได้รู้จัก และเข้าใจถึงสภาพที่เกิดขึ้นกับเคนอิจิ เมื่อครั้งต้องใช้ชีวิตเปล่าเปลี่ยวตามลำพังในจีน
พร้อม ๆ กันนั้น ตัวนักแสดงงิ้วอย่างหลี่เจียหมิน, ไกด์ท้องถิ่นชื่อชิวหลิน, รวมถึงเด็กชายหยางหยางที่เป็นเป้าหมายของการเดินทางไกล ล้วนเป็นตัวละครที่ส่งผลสะเทือนต่อความเปลี่ยนแปลงของผู้เฒ่าทาคาตะ
หลี่เจียหมินนั้นเป็นด้านตรงกันข้ามของทาคาตะ เขาแสดงอารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ ที่มีต่อบุตรชายอย่างเด่นชัดไม่ปิดบัง สามารถร่ำไห้โอดครวญ ตีอกชกหัวโดยไม่อับอายใคร ขณะที่ชายชราชาวญี่ปุ่น ซ่อนความรักความปรารถนาดีเอาไว้ในท่าทีสงบนิ่ง จนกลายเป็นความคุ้นชินเย็นชา (นี่ยังไม่นับรวมแง่มุมเปรียบเปรยที่ว่า ทั้งคู่ต่างมีลูกชายและต้องพลัดพรากจากกัน)
หนุ่มท้องถิ่นชื่อชิวหลิน เป็นภาพเปรียบอีกประการ ในแง่การสื่อสารทำความเข้าใจที่ล้มเหลว เนื่องจากอุปสรรคทางด้านภาษา ความจริงข้อนี้ยิ่งน่าเจ็บปวด เมื่อย้อนนึกไปถึงทาคาตะกับลูกชาย ซึ่งพูดภาษาเดียวกัน แต่กลับเพิกเฉยให้แก่การสื่อสารทำความเข้าใจ
ทาคาตะกับชิวหลินนั้น แม้จะพูดคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตลอดเวลาก็คือ ทั้งสองฝ่ายพยายามใช้วิธีต่าง ๆ สื่อสารกัน ทั้งโดยภาษาญี่ปุ่นซึ่งหนุ่มจีนรอบรู้จำกัด การออกท่าทางใช้ภาษาใบ้ การจดบันทึกถ้อยคำสำคัญ เพื่อหาผู้รู้จริงมาแปลให้ภายหลัง ฯลฯ
ส่วนเด็กชายหยางหยาง ช่วงเวลาหนึ่งคืนที่เจ้าหนูกับชายชรา หลงทางด้วยกันในหุบเขาโตรกผา เด็กชายมีบทบาทสำคัญในการฟื้นฟู “ความเป็นพ่อ” ที่ว่างเว้นขาดหายไปนานของทาคาตะ ให้กลับมาเต็มพร้อมสมบูรณ์อีกครั้ง
ด้านความเชื่อมโยงกับงิ้วหน้ากาก ขั้นต้นมันปรากฎผ่านคำสารภาพในจดหมายของเคนอิจิว่า เขาไม่ได้ชื่นชอบเพราะแง่มุมทางศิลปะ แต่ด้วยเหตุผลส่วนตัวคือ เขารู้สึกว่าตนเองก็สวมหน้ากากใบหนึ่งเอาไว้อยู่ตลอดเวลา เพื่อปกปิดอำพรางความรู้สึกแท้จริงบางอย่าง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสวมหน้ากาก ขึ้นมาขวางกั้นความสัมพันธ์กับพ่อ
ลำดับถัดมา ในการมาเยือนจีนของทาคาตะ ชายชราได้รับบทเรียนสำคัญผ่านงิ้ว “ควบอาชาโดดเดี่ยวพันลี้” นั่นคือ แม้ผู้แสดงจะสวมหน้ากาก แต่โดยการขับร้องนั้น ต้องสะท้อนความรู้สึกแท้จริงในใจออกมา
ทาคาตะผ่านวิบากกรรมต่าง ๆ เพื่อบันทึกภาพการแสดงงิ้วหน้ากาก แต่ลึก ๆ แล้วผลพวงสืบเนื่อง กลับเป็นการปลดเปลื้องหน้ากากของตน ทลายกำแพงที่กั้นขวาง กระทั่งสามารถหวนกลับมาเข้าถึงลูกชายได้อีกครั้ง
ในแง่นี้ ทาคาตะได้ “ควบอาชาโดดเดี่ยวพันลี้” พลัดพรากจากบ้านเป็นระยะทางไกลลิบ เพียงเพื่อท้ายที่สุดแล้ว เขาจะได้ “กลับบ้าน” คืนสู่ความเป็นครอบครัวอีกครั้ง
(เขียนเมื่อ 18 สิงหาคม 2550 เผยแพร่ครั้งแรกในคอลัมน์ “เงาของหนัง” หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน)
3 ความคิดเห็น:
หวัดดีครับ ไม่ได้แวะเข้ามาพักนึง มาอีกทีมีให้อ่านเพียบเลย
Riding Alone for Thousands of Miles หนังเข้าบรรยากาศช่วง'วันพ่อ'
พี่พอทราบบ้างหรือเปล่า ว่าเรื่องนี้พอจะมีแผ่นขายตามร้านทั่วไปหรือเปล่า รบกวนด้วยถ้าทราบ
มีขายตามร้านทั่วไปครับ ผมซื้อจากที่ร้านเจบิ๊กส์ คลองถม ราคาประมาณสองร้อยกว่าบาท ที่ร้านบูมเมอแรง ผมก็เคยเห็นมีขายเหมือนกัน หนังดีจริง ๆ ครับ ขอเชียร์อีกครั้งอย่างออกนอกหน้า
แสดงความคิดเห็น