วันอังคารที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ขนมเปียกอ่อน โดย "นรา"

เมื่อตอนผมอายุสิบขวบ ครอบครัวได้ย้ายมาอยู่ที่ห้วยขวาง ในซอยสวัสดี ถนนประชาสงเคราะห์ ซึ่งมีโรงหนังเพชรสยาม และตลาดยอดขวัญเป็นสถานที่สำคัญ


ปัจจุบันโรงหนังโดนทุบทิ้งไปหลายปีดีดัก ไม่หลงเหลือเค้ารูปเดิมใด ๆ ให้เห็นอีกเลย แต่ปรากฎอพาร์ทเมนท์ขนาดใหญ่ขึ้นมาแทนที่ ส่วนตัวตลาดยังคงอยู่ แม้ว่าจะโดนตัดเฉือนหายไปครึ่งหนึ่งของเนื้อที่ดั้งเดิม

บริเวณป้ายรถเมล์ใกล้ปากซอยเข้าบ้าน มีคุณยายท่านหนึ่งหาบขนมมาปักหลักขาย บนทางเท้าริมถนนแถว ๆ นั้นทุกค่ำคืน ตั้งแต่ราว ๆ ทุ่มนึงถึงสามทุ่มโดยเฉลี่ย

ตอนนั้นผมยังเด็กและเลินเล่อเกินกว่าจะใส่ใจสังเกตรายละเอียดใด ๆ ให้ถี่ถ้วน จึงได้แต่คาดคะเนเอาจากความรู้สึกของผมในปัจจุบันนะครับว่า ยายน่าจะมีอายุประมาณเจ็ดสิบต้น ๆ

ยายใส่เสื้อขาวแขนยาว นุ่งผ้าถุง สวมงอบ หาบกระจาด ครบถ้วนตามเอกลักษณ์ของแม่ค้าไทยขนานแท้ทุกประการ เป็นภาพคุ้นตาที่คนละแวกนั้น สามารถพบเห็นได้ทุกเมื่อเชื่อวัน ไม่เคยเปลี่ยนรูปลักษณ์เป็นอื่น


รายละเอียดที่ผมยังพอจดจำได้ก็คือ ใบหน้าของยายเต็มไปด้วยริ้วรอยยับย่น ผมหงอกขาวเกือบทั้งศีรษะ ค้าขายอย่างเงียบ ๆ ไม่ค่อยพูด แต่ยิ้มเก่ง และเป็นรอยยิ้มที่ใครเห็นเข้าก็สามารถรู้ได้ทันทีว่า ยายเป็นคนใจเย็นและใจดี
ผมไม่แน่ใจและไม่เคยรู้เลยว่า ก่อนจะปักหลักนั่งขายขนมแถวป้ายรถเมล์ ตลอดทั้งวันยายแกจะหาบขนมเร่ขายที่ไหนมาบ้างหรือเปล่า พบเห็นทีไร ยายก็มานั่งประจำที่เดิมเรียบร้อยแล้ว

ยิ่งเป็นรายละเอียดชีวิตส่วนตัว อายุอานามเท่าไร บ้านช่องห้องหับอยู่ที่ไหน มีลูกหลานหรือไม่อย่างไร ข้อมูลจำพวกนี้เกี่ยวกับยาย ยิ่งเป็นเรื่องยากเกินกว่าผมในวัยเด็กจะสืบเสาะล่วงรู้


อย่างหนึ่งที่รู้แน่และได้รับการยืนยันผ่านปากคำของผู้ใหญ่ละแวกใกล้บ้านหลาย ๆ คนก็คือ ขนมทั้งหมดนั้น ไม่ได้รับมาขายจากที่ไหน ยายปรนปรุงด้วยฝีมือของยายเอง โดยมีลูกหลานคอยช่วยเหลือเป็นลูกมือ


ขนมหลัก ๆ ที่ยายขายยืนพื้น ได้แก่ ขนมถั่วแปบ ขนมเหนียว ขนมเปียกปูน ขนมชั้น ตะโก้ และมีรายการอื่น ๆ สลับเปลี่ยนหมุนเวียนบ้างเล็กน้อย
วันดีคืนดี นาน ๆ ครั้งก็จะมี “ขนมเปียกอ่อน” เป็นเมนูพิเศษ


ผมรู้จักขนมเปียกอ่อนเป็นครั้งแรกในชีวิต ก็จากหาบขนมของยาย และอาจกล่าวได้ว่า ตลอดวัยเด็กจนกระทั่งโตเป็นหนุ่ม ผมไม่เคยพบเห็นหรือมีโอกาสได้ลิ้มรสขนมชนิดนี้จากแหล่งร้านอื่นใดอีกเลยนะครับ (พ้นจากนั้นแล้ว กว่าผมจะมาเจอและได้กินขนมเปียกอ่อนอีก ก็ผ่านการทำงานใช้ชีวิตติงต๊อง จนล่วงเลยวัยหนุ่มมาหลายปี)

ผมนับตัวเองเป็นลูกค้าขาประจำของยาย อาจไม่ถึงขั้นแวะเวียนอุดหนุนทุกค่ำคืน แต่เฉลี่ยแล้วก็ตกราว ๆ สามสี่ครั้งต่อหนึ่งอาทิตย์ เป็นอัตราปกติ


ส่วนเรื่องไม่ปกติก็มีอยู่บ้าง คือ บางวันผมเล่นกับเพื่อนเพลินจนลืม บางวันก็มัวตื่นตาตื่นใจกับหนังกลางแปลงแถวตลาด บางวันก็เตร็ดเตร่เถลไถลไปไกลบ้าน จนกลับมาไม่ทัน ขณะที่ทางฝ่ายยายนั้น เนิ่นนานเต็มทีจึงจะ “ไม่มาตามนัด” สักครั้ง โดยไม่มีใครทราบสาเหตุ

ผมซื้อขนมของยาย จนต่างฝ่ายต่างคุ้นเคยผูกพัน โดยเฉพาะวันไหนที่มีขนมเปียกอ่อน แค่เห็นหน้าตะกละ ๆ ของผมโผล่มา ยายก็จัดแจงตักห่อใส่ใบตองให้ทันที ตั้งแต่ผมยังไม่ทันออกปากถามถึง


ยายจดจำได้แม่น ว่าผมชื่นชอบโปรดปรานขนมเปียกอ่อน ครั้งหนึ่งผมเคยเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่าทำไมยายไม่ทำมาขายทุกวัน จะได้มีกินทุกวัน แกตอบยิ้ม ๆ ว่า “ขนมเปียกอ่อนขายไม่ค่อยดีนะลูก นาน ๆ ถึงจะทำซักกะที จะไม่ทำขายเลยก็ไม่ได้ กลัวว่าวันนึงมันจะหายสูญไป”

ครั้งนั้นเป็นหนึ่งในจำนวนอันน้อยนิด ที่ยายพูดกับผมยืดยาวเกินกว่ายิ้มใจดีตามปกติ และทำให้ผมเผลอคิดเป็นตุเป็นตะอยู่นานหลายปี ว่าผมคือลูกค้าคนเดียวที่ซื้อขนมเปียกอ่อนจากยาย


จะด้วยความที่เป็นของหากินยากสำหรับผมหรือเปล่า ก็เหลือที่จะเดาได้ถูก แต่มันคงมีส่วนหนุนเสริมอยู่บ้างนะครับ จึงทำให้ผมรู้สึกว่า ขนมเปียกอ่อน ยิ่งอร่อยเพิ่มพูนมากขึ้นอีก และติดแน่นตราตรึงอยู่ในความทรงจำของผมเสมอมา ในฐานะขนมพิเศษ ที่มีเฉพาะเพียงวาระพิเศษเท่านั้น

ผมอุดหนุนยายอยู่หลายปี จนช่วงเริ่มโตเป็นหนุ่มแล้วนั่นแหละ จึงค่อย ๆ เว้นห่างไปทีละน้อย เนื่องจากเลิกเรียนตอนค่ำ กว่าจะกลับถึงบ้านก็มักจะดึกดื่นเกินไป จนไม่พบยายที่ป้ายรถเมล์แห่งนั้น

วันหนึ่ง ครอบครัวของผมก็ย้ายบ้านอีกครั้ง ไปพำนักอยู่ไกลคนละทิศกับละแวกห้วยขวาง แล้วผมก็ใช้ชีวิตของผมเรื่อยมา โดยไม่มีโอกาสหวนกลับไปกินขนมเปียกอ่อนของยายอีกเลย

อย่างไรก็ตาม ช่วงท้าย ๆ ที่อยู่ห้วยขวาง ผมยังคงมีโอกาสได้กินขนมของยายบ้างเหมือนกัน ในค่ำคืนที่ผมกลับบ้านแล้วยังเจอยายนั่งเฝ้าหาบขนมอยู่ นั่นหมายความว่า วันนั้นกิจการของยายค่อนข้างฝืดเคือง ขนมเหลือเยอะ จนต้องยืดระยะเวลาขายให้ดึกกว่าปกติ

เจอะเจอสถานการณ์เช่นนี้ทีไร ผมก็มักจะซื้อขนมจากยายเยอะเกินความต้องการแท้จริง ส่วนหนึ่งก็อยากจะกินให้สมอยากกับที่ต้องห่างหายไปนาน แต่ลึก ๆ แล้วผมก็ซื้อเป็นจำนวนมากมายก่ายกอง เท่าที่ตังค์ในกระเป๋าจะเอื้ออำนวย เพราะภาพที่ยายนั่งเฝ้าหาบขนมดึก ๆ ดื่น ๆ รบกวนความรู้สึกและทำให้ผมสะเทือนใจอย่างรุนแรง

แม่ผมก็เป็นแม่ค้าเหมือนกัน เคยขายข้าวเกรียบกุ้ง, ทอดมัน และหมูปิ้ง ผมจึงมีประสบการณ์คุ้นเคยกับภาวะขายไม่หมด ต้องกินของที่ขายเหลือเป็นกับข้าวหลัก บางวันเหลือเยอะบานเบอะ ทอดมัน หมูปิ้งกลายเป็นอาหารหลักไปอีกหลายมื้อ และแลดูเยอะแยะมากมายไม่ยอมหมดสิ้นเสียที

ตรงนี้ทำให้ผมเกิดอารมณ์ร่วมมากเป็นพิเศษ เมื่อครั้งที่ได้ดูหนังการ์ตูนฮ่องกงเรื่อง My Life as McDull ซึ่งมีเหตุการณ์ที่เจ้าลูกหมูชื่อหมักเต๊า ใฝ่ฝันอยากกินไก่งวงในวันคริสต์มาส และเฝ้ารบเร้าอ้อนวอนคุณนายหมักไถผู้เป็นแม่จนกระทั่งใจอ่อน ยินยอมเก็บออมเงินเพื่อซื้อมันมาจริง ๆ

ไก่งวงมื้อแรกได้กลายเป็นอาหารโอชะในค่ำคืนอันแสนสุขสมดังปรารถนา แต่แล้ววันถัด ๆ มามันก็แปรสภาพเป็นอาหารเหลือ ที่ต้องกล้ำกลืนฝืนทนรับประทานไปอีกนานนับเดือน กว่าจะหมดสิ้นลงอย่างทุกข์ทรมาน

ฝันอันเพริศแพร้วของลูกหมู จบลงในสภาพฝันร้าย ความตื่นเต้นเร้าใจอยากกินทอดมันและหมูปิ้งของผมก็ไม่ผิดแผกไปจากนี้มากนัก เริ่มต้นดี แต่จบไม่ค่อยสวย
กระนั้น ตอนที่แม่ผมขายของเหลือในบางวัน ผมคงยังเด็กเกินกว่าจะรู้สึกทุกข์ร้อน มาซึมทราบว่าเป็นวิกฤติสาหัสหนักหน่วงก็ต่อเมื่อโตแล้ว และรำลึกย้อนหลังไปถึง


ก็คงจะเป็นช่วงที่เห็นยายขายขนมเหลือจนดึกดื่นนั่นแหละ ที่ผมเพิ่งเข้าใจรู้ซึ้งถึงความทุกข์ยากลำบากของแม่เป็นครั้งแรก กระทั่งกลายเป็นปมฝังลึกในใจเรื่อยมาจนทุกวันนี้

คราใดก็ตาม ที่พบเห็นคนแก่ขายขนมขายอาหารตอนค่ำคืนดึกดื่น ไม่ว่าจะเหลือเยอะหรือน้อย ขายไม่ดีจริง ๆ หรือขายได้ตามปกติ ผมมักจะเกิดจินตนาการส่วนตัว จนนำไปสู่อารมณ์สะเทือนใจบาดลึกขึ้นมาโดยฉับพลัน และต้องรีบอุดหนุน ทั้งที่ไม่ได้อยากกินขนมหรืออาหารชนิดนั้นเลย

ซื้อหาอุดหนุนไปแล้ว ก็ไม่ได้ช่วยให้ผมหายเศร้าทุเลาลงได้ ยังคงหม่นซึมต่อเนื่องอีกพักใหญ่ ๆ ทีเดียว

ผมไม่ได้เศร้ากับแม่ค้าวัยคุณป้าคุณยายในปัจจุบันไปหมดทุกรายหรอกนะครับ แต่ภาพต่าง ๆ เหล่านี้ ส่งผลต่อความรู้สึกในทางอ้อม ในฐานะสื่อนำเชื่อมโยงให้ผมนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เกี่ยวกับยายในค่ำคืนหนึ่ง

วันนั้นผมกลับมาถึงบ้านเกือบ ๆ ห้าทุ่ม เห็นยายยังคงนั่งอยู่ที่เดิมตรงป้ายรถเมล์ ร้านรวงตึกแถวละแวกนั้นพากันปิดประตูเข้านอนกันหมดแล้ว รายรอบมืดสนิท ถนนว่างโล่ง นาน ๆ จึงจะปรากฎรถยนต์ผ่านไปมาสักคัน ทางเท้าแทบจะไร้ผู้คน มีเพียงแสงจากไฟนีออนตรงชายคาบ้านหลังหนึ่งส่องฝ่าความมืดรายล้อม มีเพียงฝนเทกระหน่ำหนาหนัก มีเพียงฟ้าแลบแปลบปลาบสลับกับเสียงครืนครางของฟ้าร้องฝนคำรามเท่านั้น ที่เป็นเพื่อนร่วมราตรีอันเปลี่ยวเหงาร้าวรานของยาย

คืนนั้นยายขายขนมได้น้อยกว่าทุกครั้งที่ผมเคยเห็น ผมซื้อขนมของยาย วิ่งฝ่าฝนตัวเปียกโชกกลับบ้าน

คืนนั้น ผมกินขนมของยาย ด้วยอารมณ์ความรู้สึกฝาดเฝื่อนอย่างยิ่งในลำคอ และโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว จู่ ๆ ผมก็หลั่งน้ำตา

ภาพยายในคืนนั้น กลายเป็น “ภาพจำ” ที่ทั้งติดตาและติดตรึงอยู่ในใจผมตลอดมา เป็นภาพแรก ๆ ที่ผมระลึกได้ทุกครั้งที่นึกถึงเหตุการณ์แง่มุมใด ๆ ก็ตามที่ก่อให้เกิดอารมณ์สะเทือนใจ เป็นภาพที่ผมอยากย้อนกลับไปสู่อดีตอีกสักครั้ง เพื่อทำอะไรให้กับยายได้มากกว่าที่เคย

เพื่อไม่ให้เรื่องนี้ระทมขมขื่นจนเกินไป ผมมีอะไรจะเล่าเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย

ทุกวันนี้ผมก็ยังเที่ยวด้อม ๆ มองหาขนมเปียกอ่อนเสมอนะครับ เจอะเจอทีไรก็มักจะซื้อติดไม้ติดมือไปกินด้วยความยินดี

สำหรับผมแล้ว ขนมเปียกอ่อนมีความหมายคุณค่ามากกว่าแค่ขนม กินทีไรผมก็รู้สึกเสมือนหนึ่งว่าได้เจอะเจอยาย-ซึ่งเป็นญาติผู้ใหญ่ทางใจของผม-อีกครั้ง
น่าแปลกอยู่บ้างตรงที่ ทุกคราวเมื่อได้กินขนมเปียกอ่อน ผมไม่เคยนึกถึงภาพรันทดหดหู่ชวนเศร้าเกี่ยวกับยายเลย แต่กลับไปจดจำคำพูดผ่านรอยยิ้มใจดีของยายที่ว่า “ขนมเปียกอ่อนขายไม่ค่อยดีนะลูก นาน ๆ ถึงจะทำซักกะที จะไม่ทำขายเลยก็ไม่ได้ กลัวว่าวันนึงมันจะหายสูญไป”

อีกอย่างหนึ่งที่ผมนึกออก และสามารถกล่าวเต็มปากด้วยความมั่นใจก็คือ ผมไม่เคยกินขนมเปียกอ่อนเจ้าไหน ที่มีรสชาติอร่อยเทียบเท่ากับฝีมือของยายเลย

(จากคอลัมน์ "เป็ดย่างนอกเครื่องแบบ" เผยแพร่ครั้งแรกในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวันและเว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์)

ไม่มีความคิดเห็น: