วันเสาร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

นิทานข้างผนัง (ตอนจบ):ภาพที่เกินมา โดย "นรา"












ตะวันคล้อยต่ำสาดสีหมากสุก ลมโกรกจากป่าผ่านมาสู่ทุ่ง จำเรียงนั่งเหม่อลอยอยู่หน้ากระท่อม นับแต่พ่อแผ้วผัวรัก รับอาสาพระครูสังเขียนภาพมารประจญในโบสถ์ ล่วงถึงบัดนี้ก็เจ็ดเดือนเข้าให้แล้ว

เห็นหลังคาโบสถ์อยู่ลิบ ๆ สุดตา รู้แน่ว่าเจ้าแผ้วอยู่ ณ ที่นั้น แต่ก็ไม่อาจเยี่ยมสู่พบปะ ที่ใกล้เพียงตาแลเห็น ก็กลายเสมือนดั่งไกลสุดตา เลือนรางประหนึ่งเป็นเพียงเงาจาง ๆ ของความฝันอันคลุมเครือ

คล้อยหลังจากพรากกันเพียงมินาน จำเรียงก็พบว่าตัวเจ้านั้นตั้งท้อง จึงรีบตรงไปทำบุญที่วัด บอกกล่าวให้พระครูขรัวเฒ่ารู้ข่าว หวังว่าท่านจะเล่าต่อให้เจ้าแผ้วที่กักตัวเองเขียนรูปในโบสถ์ได้รู้ แลเมื่อมันรู้ การที่ยังคั่งค้างอยู่ ก็จักเร่งมือให้แล้วเสร็จในเร็ววัน

นับแต่นั้นสืบมา ทุกย่ำค่ำจำเรียงก็จับจ้องมองไปยังทิศที่ตั้งของโบสถ์ ชะเง้อชะแง้แลหาว่าเมื่อไร ผัวรักจึงจะกลับ

จำเรียงมิได้ฉุกใจคิดเลยสักนิดว่า พระครูสังเก็บงำข่าวที่มันตั้งท้องไว้มิดชิด มิได้บอกกล่าวให้แผ้วล่วงรู้

๑๐
เป็นเพลาข้างขึ้น เดือนเด่นจันทร์ลอย ทั่วหมู่บ้านแลคล้ายกำลังหลับ ไร้สุ้มเสียงผู้คน มีเพียงแมลงกลางคืนกรีดร้องระงม แว่วมาจากตรงนั้น ตรงนี้ อื้ออึงสลับกันไป

แต่พระครูสังยังมิอาจข่มตาหลับ ขรัวเฒ่าเฝ้าคิดตรองไม่ตกว่าควรทำกระไรดี จะแจ้งข่าวให้แผ้วรู้ว่าเมียมันท้อง ก็เกรงทำร้ายเจ้าหนุ่มให้สมาธิแตกซ่าน เป็นภัยแก่มันยิ่งนัก ครั้นจะนิ่งเฉยอมพะนำ ก็ผิดบาปทั้งละเมิดศีลมุสาโป้ปด บอกกล่าวความจริงไม่หมด คล้ายดั่งท่านเป็นใจรู้เห็น พรากผัวเมียจากกัน

ครั้นแล้วท่านพระครูก็พอจะคิดอ่านหาหนทางคลี่คลาย จึงมุ่งตรงไปยังโบสถ์กลางวิกาล

“แผ้วเอ๊ย หลับรึยัง?” พระครูสังเคาะประตูเรียกขาน
“ยังขอรับ” เสียงขานรับจากเจ้าแผ้วดังลอดประตูออกมา
“ข้ามีเรื่องจะหารือกับเอ็ง” ขรัวเฒ่ากล่าวช้า ๆ ชัดถ้อยชัดความ
“การอันใดขอรับ หลงพ่อ” เสียงเจ้าหนุ่มเจือความสงสัยอยู่ในที
“เอ็งเลิกเขียนผนังโบสถ์ กลับบ้านกลับช่องเสีย ปล่อยทิ้งไว้หยั่งงั้นแหละ” ท่านพระครูเอ่ยด้วยความห่วงใย
“มีเหตุอันใดรึขอรับ” เสียงนั้นฉงนใจแลร้อนรนจนจับความชัดถนัดหู
“ข้าคิด ๆ ดูแล้ว มันเสี่ยงเกินไป” ขรัวเฒ่าแถลงไขพร้อมทั้งถอนหายใจเฮือกใหญ่
“พระคุณท่าน กระผมหาได้เกรงอันใดไม่ แลพร้อมสละตนเองทุกสิ่ง เพื่อกิจอันเป็นพุทธบูชา” น้ำเสียงเจ้าหนุ่มหนักแน่นดื้อดึง คล้ายปิดกั้นช่องทางมิให้สิ่งใดเล็ดรอดมาโยกคลอนการปลงใจของมัน

พระครูสังเกือบจะหลุดปากบอกข่าวเรื่องจำเรียง แต่ท่านก็หักห้ามตนเองไว้ทัน

“ลูกเอ๋ย เอ็งจะว่ากระไร หากข้าจะขอให้เอ็งเลิกเขียน ด้วยเหตุสำคัญที่มิอาจแพร่งพราย” ขรัวเฒ่าโน้มน้าวอีกครั้ง
“ไฉนหลงพ่อ จึงบอกให้ข้ารู้ไม่ได้” เจ้าแผ้วซักไซร้ไล่เรียง
นิ่งไปอึดใจ พระครูสังก็พูดอย่างปลง ๆ แลจนปัญญา “ก็เพราะข้ารู้ว่า ต่อให้บอกเล่าแล้ว เอ็งก็ไม่มีเปลี่ยนใจ”
“ข้าขอเถิดพระคุณท่าน ขอให้ข้าได้เขียนโบสถ์จนแล้วเสร็จ” เสียงของเจ้าหนุ่มเต็มไปด้วยความปรารถนาร้อนแรง จนใครที่ได้ยินได้ฟังก็หักใจขัดขืนความต้องการของมันไม่ลง

คืนนั้น พระครูสังกลับกุฏิสวดมนต์ภาวนา อาราธนาคุณพระคุณเจ้าคุ้มครองให้เจ้าแผ้วแคล้วคลาดปลอดภัย

ขรัวเฒ่าสวดอยู่จนกระทั่งฟ้าสางสว่างแจ้ง หากใจนั้นสิกลับมิได้สงบลงเลยสักนิด

๑๑
นับแต่แผ้วเข้าโบสถ์เพื่อเขียนรูปมารประจญ พื้นผนังอันขาวโพลน ค่อย ๆ ปรากฎรูปแลเรื่องราวต่าง ๆ ขึ้นมาทีละน้อย

บัดนี้เล่าก็เหลือเพียง ผนังข้างล่างทั้งสองฟาก ด้านขวานั้นกำหนดไว้ว่า จะเขียนกองทัพมารพร้อมอาวุธ เตรียมกลุ้มรุมทำร้ายพระพุทธองค์ ด้านซ้ายเล่าความถึงคราวเมื่อมวลมารทั้งปวงโดนน้ำท่วมจนแตกพ่ายโกลาหล

พระครูสังท่านกล่าวเตือนนักว่า ให้เว้นสองส่วนนี้เหลือไว้วาดท้ายสุด เนื่องด้วยกองทัพมารนั้น กอปรไปด้วยไพร่พลยักษ์สัตว์ร้าย ปะปนอยู่กับรูปคนต่างชาติ ฝรั่ง อังกฤษ วิลันดา โปรจุเกศ ยี่ปุ่น จีน จาม พม่า รามัญ มักกะสัน แขก ชวา ทมิฬ สิงหล

“จำไว้นะแผ้ว วาดคนก่อน ตามด้วยสัตว์ แล้วจึงค่อยวาดยักษ์แลภูติผีไว้รั้งท้าย? ของมันแรง อาถรรพ์มันเยอะ” แผ้วยังคงได้ยินเสียงท่านพระครูแว่วอยู่เต็มหู

๑๒
อุ้มท้องมาได้เก้าเดือน จำเรียงก็เจ็บเร่าทรมานด้วยใกล้คลอด คืนนั้นฟ้าคลุ้มพายุคลั่ง เสียงลมเสียงฝนสาดพัดปนเสียงร้องครวญครางเหมือนใจจะขาด...

พระครูสังให้รู้สึกใจคอมิสู้ดี ผลุดลุกผลุดนั่งกระสับกระส่าย ท้ายสุดก็รวมสติตั้งสมาธิ จุดธูปเทียนบูชาพระในกุฏิ บริกรรมสรรพคาถาอาคมใด ๆ ทั้งปวงที่ล่วงรู้ร่ำเรียนมา...

๑๓
ลมโหมกระหน่ำกระแทกกระทั้นประตูโบสถ์ คล้ายมีมือเขย่าโยกคลอน เม็ดฝนหนาหนักตกต้องหลังคา ราวจะกดทับให้ยุบยวบทลายลง แสงฟ้าแลบแปลบปลาบผ่านช่องเล็ก ๆ ที่แง้มไว้เข้ามาภายใน เป็นเส้นขาวคมเจิดจ้ากรีดตาแลเชือดเฉือนใจให้ผู้พบเห็นรู้สึกไหวสะท้าน

แผ้วเร่งมือสะบัดพู่กัน เหลือรูปยักษ์อีกเพียงไม่กี่ตนเท่านั้น การอันเหนื่อยยากพากเพียรมาเนิ่นนานก็จะแล้วเสร็จ

เจ้าหนุ่มคร่ำเคร่งจดจ่อแต่ผนังเบื้องหน้า ประหนึ่งตัดขาดตนเองจากโลกภายนอก ประจงทุ่มฝีมือวาดหน้ายักษ์ให้ดุร้ายน่าเกรงขาม เส้นลายพู่กันสะบัดเป็นเขี้ยวโง้งโค้งแวววับ เหมือนจะอ้างับโฉบกัดทุกมือที่เอื้อมใกล้

เสียงฟ้าร้องครวญมา วูบหนึ่ง แผ้วรู้สึกเหมือนเสียงนั้นคำรามจากปากยักษ์ เจ้าหนุ่มสะดุ้งตกใจ ฟ้าแลบสว่างเข้ามาในโบสถ์

พลันนั้นเอง พื้นผนังที่สายตาของแผ้วมองเห็น ก็เต้นไหวโลดแล่นได้ หมู่มารฉวยคว้าอาวุธหันจากเดิมที่พุ่งตรงไปยังรูปพระพุทธองค์ มุ่งตรงมายังชายหนุ่ม

แผ้วผงะตกใจกระถดตัวถอยหลัง มารตนหนึ่งเงื้อหอกฟาดแทงเข้าใส่ เจ้าหนุ่มหงายหลังหลบ กระทั่งหัวฟาดกับฐานด้านหลังขององค์พระประธาน

คล้ายดั่งองค์พระแผ่บารมีเข้าช่วยให้แผ้วเรียกสติ ระลึกถึงพระขึ้นมา ใจหนุ่มก็ค่อย ๆ สงบลง หลับตาเพ่งภาวนาสำรวมสมาธิ

เมื่อลืมตาอีกครั้ง พื้นผนังก็กลับกลายสู่สภาพดังเดิม เหมือนเช่นที่แผ้วได้วาดไว้

เจ้าหนุ่มไม่รั้งรอ รีบเร่งมือเขียนผนังเป็นการใหญ่

เหลืออีกเพียงแค่รูปเดียว เป็นหน้ายักษ์เบื้องซ้ายพระราหูตรงกึ่งกลางด้านล่าง

จะด้วยใจอันเร่งร้อน หมายให้เสร็จสิ้นโดยไว กระทั่งนำไปสู่จิตว้าวุ่น ฤาเป็นอาถรรพ์ชั่วร้ายอันเกิดจากฤทธิ์ยักษ์ ก็สุดที่ผู้ใดจะล่วงรู้

มีเสียงฟ้าผ่าเปรี้ยง ทว่าแผ้วกลับได้ยินเป็นเสียงใครบางคนร้องเอ่ยเรียกชื่อมัน

ใครบางคนนั้นคือ จำเรียง

แล้วน้ำท่วมกองทัพมารจนแตกพ่าย ก็แปรเปลี่ยนอีกครา กระแสธารโถมท่วมเข้าใส่ชายหนุ่ม พร้อมทั้งคน ผี ปีศาจที่มีชีวิตหลุดโผนจากผนังจนแออัดกันแน่นไปทั่วโบสถ์...

๑๔
ควบคู่กับเสียงฟ้าผ่าเปรี้ยง จำเรียงตะโกนเรียกสุดเสียง “พี่แผ้ว!!!”

๑๕
เสียงฟ้าผ่าเปรี้ยง ทำให้พระครูสังสะดุ้งเฮือกใหญ่ เทียนเล่มน้อยในกุฎิดับมืดไปนานแล้ว

ขรัวเฒ่าตระนักรู้ในบัดดลว่า บางสิ่งบางอย่างได้ยุติลง

ที่ท่านพระครูยังไม่อาจหยั่งรู้ ก็มีเพียงว่า มันจบลงในทางร้ายหรือทางดี...

๑๖
ประตูโบสถ์เปิดกว้างอยู่ก่อนแล้ว คราวเมื่อพระครูสังฝ่าฝนไปถึง ไม่มีผู้ใดอยู่ในนั้น คบไฟตรงผนังหลังองค์พระประธานยังโชนแสงกระพริบเต้นตามจังหวะของลมฝน

ขรัวเฒ่าเขม้นมองเพ่งไปที่ผนัง เจ้าแผ้วเขียนเสร็จสิ้นแล้วจริง ๆ ดังที่ท่านคาดเดา

“เออหนอ งามนัก สมดังที่ข้าเชื่อฝีมือมัน” พระครูสังรำพึงรำพันอยู่ในใจ พร้อมทั้งไล่สายตาไปตามลำดับ จากบนสู่ล่าง จากขวาไปซ้าย ล้วนงามหมดจดครบถ้วนกระบวนความ พระพุทธองค์ทรงสงบสง่างามเปี่ยมบารมี นางธรณีรึก็โค้งหวานอ่อนช้อย กองทัพมารซีกขวาแลดูดุดันฮึกหาญ ครั้นเมื่อแตกทัพแพ้พ่ายก็วุ่นวายโกลาหลมิเป็นส่ำ

ไล่สายตาไปเรื่อย ๆ พระครูสังก็รู้สึกเหมือนใจจะหยุดเต้น ตามองจ้องเขม็งไปที่ผนัง

ตรงเบื้องหลังของไพร่พลมารตนหนึ่ง ซึ่งแหงนหน้าเอื้อมสองมือเกาะคว้ากระเบนดำ เป็นพื้นที่อันควรจะว่างเปล่าปราศจากรูปใด ๆ กลับเขียนใบหน้าหนึ่งทิ้งไว้เสมือนดังว่าเกินมา

เป็นใบหน้าชายหนุ่มหล่อเหลาคมสัน แววตาเหมือนซ่อนความเศร้าเร้นลึกบางอย่างไว้ท่วมท้น

“แผ้ว!” ขรัวเฒ่าอุทานออกมาเบา ๆ

พระครูสังครุ่นคิด การนี้อาจเป็นได้ว่า เจ้าแผ้วมันเขียนรูปตัวเองทิ้งไว้บนผนัง เมื่อแล้วเสร็จ มันคงดีอกดีใจรีบกลับบ้านไปหาจำเรียง

กระนั้นขรัวเฒ่าก็ปลงใจเชื่อความคิดนี้ไม่ลง คนสุขุมรัดกุมเยี่ยงมัน ย่อมไม่พรวดพราดจากไป ทิ้งประตูโบสถ์เปิดไว้เช่นที่เห็น ฤามันจะถูกอาถรรพ์ชั่วร้ายฉกตัวเข้าไปอยู่ในรูปเขียน

“เหลวไหลพิลึกล่ะ” พระครูสังก่นตำหนิตนเอง กระนั้นท่านก็รู้อยู่เต็มอกว่า ตลอดชีวิตที่เหลือ ย่อมไม่อาจสลัดความคิดนี้ทิ้งไปได้เลย

ขรัวเฒ่าหยิบพู่กันบนพื้น ค่อย ๆ วาดแก้ไขใบหน้านั้นให้ผิดแปลกไปจากเดิม เติมจมูกให้งอนโค้งละม้ายคล้ายพวกแขกฝรั่ง...

๑๗
พ้นจากค่ำคืนพายุฝนนั้นแล้ว ผนังโบสถ์วัดเกาะที่เหลือคั่งค้าง บรรดาช่างเขียนก็ระดมกันลงแรงต่อไป กระทั่งสำเร็จลุล่วงครบถ้วน

ทั่วทั้งท่าราบ แลบ้านย่านอื่นใกล้เคียง ไม่มีผู้ใดพบเห็นแผ้วอีกเลย กระทั่งว่าเกณฑ์ผู้คนงมค้นหาในลำน้ำเพชรละแวกนั้น ก็ไม่พบศพหรือร่องรอยใด ๆ

นานวันเข้า เหตุเมื่อเจ้าแผ้วหายตัวลี้ลับ ก็ค่อย ๆ เลือนหายไปจากความรับรู้ของผู้คน

ยกเว้นเพียงจำเรียง

๑๘
จำเรียงคลอดลูกกลางดึกคืนนั้น เมื่ออยู่ไฟจนแข็งแรงเดินเหินได้ดังเดิมแล้ว เจ้าก็อุ้มลูกอ่อนตรงไปที่โบสถ์ แลกลับมาบ้านด้วยอาการร่ำไห้เจียนจะขาดใจ

นับแต่นั้นมา จำเรียงมักจะอุ้มลูกไปดูรูปเขียนฝีมือเจ้าแผ้วที่โบสถ์อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

ร่ำลือกันทั่วทั้งบางว่า อีจำเรียงมันตัดอาลัยผัวไม่ลง บ้างก็ว่ามันเสียสติกำเริบรักจนเกินเยียวยา

มีเพียงพระครูสังเท่านั้น ที่พอจะระแคะระคายเดาความเป็นไปต่าง ๆ ออก

๑๙
ตรงโบสถ์ วัดเกาะ หลังองค์พระประธาน จำเรียงมองดูรูปที่พระครูสังได้มาเขียนเติมไว้ เป็นใบหน้าที่เจ้าไม่คุ้นเคยมาก่อน

หากแต่เมื่อเห็นคราวใดจำเรียงก็อดกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้

หญิงสาวก่นเฝ้าแต่บอกกล่าวกับตัวเองว่า แววตาพี่แผ้วนั้นเหมือนผู้ชายในรูปมิมีผิดเพี้ยน




(นิทานข้างผนังตอนต้น เขียนเมื่อ 11 เมษายน 2552 ตอนจบเขียนเมื่อ 18 เมษายน 2552 เผยแพร่ครั้งแรกในคอลัมน์ "เป็ดย่างนอกเครื่องแบบ" หนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการ ภาพวาดทั้งหมดและสถานที่นั้นมีอยู่จริง ส่วนตัวบุคคลและเหตุการณ์เป็นเรื่องแต่ง)











นิทานข้างผนัง (ตอนต้น):ภาพที่หายไป โดย "นรา"








ลุศักราช ๑๐๙๗ ตรงกับพุทธศักราช ๒๒๗๘ ปีเถาะ ปีที่สี่ในแผ่นดินสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่สาม (พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ) ณ วัดเกาะ ท่าราบ เมืองพริบพรี (เพชรบุรี) เหล่าครูช่างทั้งหลายผ่านการคร่ำเคร่งเขียนภาพผนัง ทิศเบื้องขวามือองค์พระประธาน มานานแรมปี จนกระทั่งแล้วเสร็จ

เหลืออีกสามด้านที่ยังมิได้วาด คือ ผนังสกัดด้านตรงข้าม ด้านหลัง และซ้ายมือขององค์พระประธาน
คล้ายกับว่า ช่างทั้งหลายจะคลายความอั้นใจที่สุมแน่นอยู่เต็มอก ด้วยต่างก็นึกสงสัยมิวายเสมอมาว่า เหตุอันใดเล่า พระครูสัง หัวหน้าครูช่าง จึงมีคำสั่งผิดประหลาด จัดแจงให้เขียนภาพยมกปาฏิหาริย์ แยกแบ่งเป็นสองห้อง ทั้งที่แต่เดิมพื้นผนังก็มีไม่เพียงพอ

ก็แล้วรูปเสด็จโปรดพุทธมารดากับรูปมหาปรินิพพานนั้นเล่า จักแก้ไขเช่นไร เขียนไว้ที่ไหน หรือปล่อยให้ขาดค้างไม่ครบถ้วน

มิใยที่เหล่าช่างจะซักไซร้ไล่ความ พระครูสัง ขรัวเฒ่าหัวหน้าครูช่าง ก็เก็บปากเก็บคำงำนิ่ง ไม่ยอมแย้มความแพร่งพรายให้ใครรู้ ว่าได้ซ่อนทีเด็ดทีขาดอันใดเอาไว้
มากสุดที่ท่านจะกล่าว ก็มีเพียง “เอาไว้ถึงเวลาแล้วก็จะได้เห็นกันเอง”

“ตราบใดที่ยังไม่ล่วงรู้ ข้าย่อมไม่มีวันแล้วใจ” ฉไกรช่างหนุ่ม โพล่งขึ้นเสมือนกล่าวความในใจแทนช่างทั้งปวง
“เอาเถอะ ที่ไม่รู้ก็จะได้รู้กันสักที ผนังแปก็เขียนกันสิ้นถ้วนแล้ว ดูทีรึว่า ด้านหุ้มกลองหน้าโบสถ์ที่ปล่อยว่างอยู่ ขรัวเฒ่าจะให้เขียนรูปอะไร”
“ก็คงไม่แคล้ว รูปมารประจญตามขนบ นั่นแหละ”
“ถ้าง่ายเยี่ยงนั้นก็ดีสิ เอ็งอย่าลืมว่า พระครูสังท่านคิดแผลงไม่เหมือนใคร”
“อ๋าย! จะเป็นอื่นได้ยังไง ถ้าไม่เขียนมารประจญแล้ว ก็นอกลู่ผิดครูเท่านั้นเอง”
“บ๊ะ ก็แล้วที่เอ็ง ข้าและหลวงพี่ทั้งหลาย เขียน ๆ กันมาตามคำสั่งพระครู ไม่ผ่าเหล่าผ่ากอหรอกเรอะ”
“ป่วยการจะเดาสุ่มเถียงกันเอง มิสู้ไปเล่าแจ้งเรียนให้พระคุณท่านทราบ จักได้สอบถามให้รู้ชัด”

ครูช่างทั้งหลายจึงยกขบวนกันไปเฝ้าท่านพระครูที่กุฏิ


“พระคุณท่านขอรับ บัดนี้ผนังทั้งเจ็ดห้องก็ได้เขียนสำเร็จเรียบร้อยแล้ว” ครูช่างคนหนึ่งบอกเล่ารายงาน
“เออดี” ขรัวเฒ่าสดับแล้ว ก็เปรยยิ้ม ๆ ด้วยความพึงพอใจ
“เอ้อ...” ครูช่างคนเดิม มีท่าทีอึกอักและอึดอัด
“เอ้า มีอะไรก็ว่ามา”
“คะ..คือ...คือว่า...”
“บ๊ะ ก็ว่ามาสิ เอ้ออ้าบ้าใบ้อยู่หยั่งงี้ แล้วข้าจะรู้แจ้งในความได้ยังไง” ท่านพระครูแกล้งเอ็ดเบา ๆ ด้วยยังอารมณ์ดีอยู่
“หมดแล้วนะขอรับ หมดแล้ว” ครูช่าง
“อะไรหมดวะ?”
“ผนังนะสิขอรับ เขียนจนหมดเกลี้ยง ไม่มีห้องเหลือ แต่ยังเขียนไม่ครบ” ฉไกรช่างหนุ่ม โพล่งขึ้นด้วยใจคอมุทะลุตามเคย
“อือ ก็ดีแล้วนี่”
“พระคุณท่าน พวกข้าสงสัยว่า รูปเสด็จโปรดพุทธมารดา รูปมหาปรินิพพาน จะให้ทำยังไง”
“ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น ผนังสกัดด้านหน้าโบสถ์ ข้าจะสำแดงเอง”


รุ่งเช้าถัดมา ช่างทั้งปวงก็ตรงมายังโบสถ์ เพื่อหวังจะยลพระครูสังสำแดงฝีมือเป็นขวัญตา หากแต่เมื่อลุถึงที่หมาย พลันพบว่า ประตูแง้มไว้พอให้ลมถ่ายเท แต่คล้องโซ่จากด้านใน มิให้ใครอื่นล่วงล้ำกล้ำกราย

พระครูสังปิดโบสถ์จุดเทียนเขียนรูปตามลำพัง ตั้งแต่เช้าจรดคร่ำ ไม่ยินยอมอนุญาตให้ผู้ใดล่วงผ่านเข้ามา แลฉันเพลแค่เพียงมื้อเดียว โดยมีเด็กวัดยกถาดสำรับวางไว้หน้าประตูโบสถ์

“ข้าเห็นแต่มือหลงพ่อ เอื้อมมาหยิบถาด แล้วก็ปิดประตู ท่านฉันเสร็จก็เปิดแง้ม ยื่นถาดวางไว้ที่เดิม” เด็กวัดเล่าความตามที่ตัวเห็น เมื่อถูกซักไซร้ไล่เลียงว่า รูปเขียนในโบสถ์มีเค้าลางเช่นไร

จนฝนเหือดฟ้า น้ำทรงทุ่งเดือน ๑๒ ล่วงพ้นเดือนอ้าย เดือนยี่ แล้วก็สิ้นหนาว เข้าสู่ฤดูแล้ง วันแล้ววันเล่า เหล่าสงฆ์และฆราวาส ทั่วทั้งท่าราบแลถิ่นย่านอื่นไกลใกล้เคียง ล้วนร่ำลือกันว่า พระครูสังขรัวเฒ่า ขังตนเองเขียนรูป ไม่ออกสมาคมกับผู้คน กระทั่งพระเณรในวัดก็มิอาจลงโบสถ์ทำวัตรเช้า-เย็น

ตราบดึกนั่นแล้ว พระครูสังจึงกลับสู่กุฏิเพื่อจำวัด ลงดาลลั่นกุญแจด้านนอกเอาไว้มิดชิด มิให้ใครแอบล่วงล้ำเข้าไปข้างในโบสถ์

ครูช่างทั้งหลาย ตลอดจนชาวบ้าน จึงได้แต่คะเนนึกตรึกตรองกันไปต่าง ๆ นานา บ้างใคร่รู้ว่า ขรัวเฒ่าจะเขียนรูปเสด็จกลับจากดาวดึงส์ รูปมหาปรินิพพานไว้ตรงไหน ด้วยคิดไม่ตกว่า รูปมารประจญตามขนบนั้น ดูยังไงก็ไม่เห็นทางที่จะแทรกลงไปได้

บ้างก็ใคร่อยากยลฝีมือของท่านครูว่าจะงามเพียงไร บ้างก็โจษจันกันว่า ท่านคงเขียนรูปศักดิ์สิทธิ์ บริกรรมคาถาอาคมไว้อักโข

กระนั้น พระครูสังก็ยังคงปิดโบสถ์เขียนรูปไม่สุงสิงกับผู้ใด นานวันเข้าก็กลายเป็นความเคยชิน ที่เคยแตกตื่นประหลาดใจ ก็ค่อย ๆ ปลงใจเห็นเป็นปกติ และค่อย ๆ เลือน ๆ กันไป


จะเว้นก็แต่ช่างทั้งเจ็ด ทั้งบรรพชิตและฆราวาส ซึ่งยังพบปะชุมนุมกันอยู่เนือง ๆ ด้วยไม่อาจสลัดข้อสงสัยเกี่ยวกับท่านพระครูสัง จากแลกเปลี่ยนเนื้อความตามที่แต่ละคนนึกคะแน จากที่เถียงทะเลาะเบาะแว้ง ด้วยคิดไม่ลงรอยกัน จากที่เดาสุ่มกันไปต่าง ๆ นานา

นานวันเข้าทั้งเจ็ดก็หมดเรื่องพูด ได้แต่พากันมานั่งจับเจ่าเฝ้าคอย เลียบ ๆ เคียง ๆ อยู่หน้าโบสถ์ ยามเมื่อแต่ละคนมีเวลาว่าง

สิ่งที่ว่างเปล่ากว่านั้นคือ ในใจของแต่ละคน ซึ่งเฝ้าคอยขรัวเฒ่าเขียนผนัง โดยไม่เห็นปลายทางวี่แววว่าจะแล้วเสร็จเมื่อไร...


“หลงพี่ หลงพี่ เป็นเรื่องแล้ว!!!” ไอ้แกละ เด็กวัด ระล่ำระลักหายใจหอบ ขณะมือก็เคาะประตูกุฏิเป็นระวิง
“อะไรของเอ็งว่ะ ไอ้แกละ เอ็ดตะโรลั่นไปหมด” หลวงพี่ป่านปราม พร้อม ๆ กับเยี่ยมหน้าโผล่พ้นบานประตู
“หลงตา... หลงตาสง...ที่อยู่ในโบสถ์ขอรับ... หลงพี่” เด็กวัดพูดพลางกระหืดกระหอบสะดุดติดขัด
“ขรัวพ่อท่านเป็นอะไร? บรรลัยแล้วสิ” หลวงพี่ป่านกล่าวแล้วก็จัดสบงจีวรทะมัดทะแมง เตรียมโผนลงจากกุฏิ
“ท่านไม่ได้เป็นอะไรหรอก หลงพี่ อย่าเพิ่งตกใจ” ไอ้แกละเริ่มพูดจาเป็นถ้อยเป็นคำ
“อุวะ แล้วทำไมเอ็งถึงรีบร้อนราวกับมีเรื่องคอขาดบาดตาย”หลวงพี่ตัดพ้อ
“ยิ่งกว่านั้นอีกหลงพี่ ท่านให้ข้ามาบอกทุกคนว่า อีกเจ็ดวันจะเขียนผนังเสร็จและเปิดโบสถ์ให้ญาติโยมได้ดู”
“เฮ้ย! จริงรึว่ะ” หลวงพี่ป่านอุทาน แล้วก็พรวดพราดลงจากกุฎิ ด้วยอารามรีบเร่งตื่นเต้นยิ่งกว่าเมื่อตอนที่ไอ้แกละตาลีตาเหลือกขึ้นมาบอกข่าวเสียอีก


นับจากวันที่พระครูสังปิดโบสถ์เขียนผนังเรื่อยมา ครูช่างหนุ่มชื่อแผ้ว เป็นผู้เดียวที่สงบปากสงบคำกว่าใครอื่น แม้ท่านพระครูและช่างอื่น ๆ ทั้งหก จะถกสนทนาทุ่มเทียงและสงสัยกันหนักหนาเพียงไร เจ้าหนุ่มก็ได้แต่ฟังด้วยท่าทีนิ่ง ๆ ไร้ปากไร้เสียง หากมีใครซักถาม ก็มักจะเออออขานรับสั้น ๆ ไปตามเรื่องตามราว ไม่สู้จะนิยมเถียงแย้งกับใคร

แต่คืนนี้มันกลับกระสับกระส่าย นอนไม่หลับ พรุ่งนี้แล้วสินะที่จะสิ้นการรอคอย นึกขึ้นทีไรเจ้าแผ้วก็ใจเต้นแรง ทั้งที่สันดานเดิมมันเป็นคนนิ่งกุมสติได้ดี

เจ้าแผ้วพลิกตัวไปมา จนเมียที่นอนอยู่ข้าง ๆ รู้สึกตัวตื่น

“พี่แผ้ว นอนไม่หลับรึ? ” สาวเจ้าถามด้วยนึกฉงน
“ไม่มีอะไรหรอกจำเรียง ข้าคิดนู่นคิดนี่ไปเรื่อย” แผ้วกระซิบตอบอ่อนโยน
“เรื่องรูปเขียนของพระครูสังใช่มั้ยพี่” เจ้าตอบราวกับนั่งอยู่ในใจชายหนุ่ม
“พรึ่งนี้ก็ได้เห็นแล้ว พี่กระวนกระวายไปก็ป่วยการ” จำเรียงปลอบ

แผ้วพยักหน้ารับ แล้วพยายามข่มตาให้หลับ ชายหนุ่มมิได้อยากรู้ว่าท่านพระครูจะเขียนรูปอะไร? แค่รู้สึกสังหรณ์ใจว่า รูปนี้จะเปลี่ยนชีวิต

อยากเอ่ยบอกกล่าวให้จำเรียงล่วงรู้ แต่ก็ตัดใจไม่พูด ด้วยเกรงเจ้าจะเสียขวัญ

เสียงพึมพำจ้อกแจ้กดังลั่นไปทั่วทั้งโบสถ์ เมื่อทุกคนได้เห็นรูปเขียนบนผนัง

บ้างแปลกใจที่เห็นว่า ไม่ใช่รูปมารประจญ เหมือนดังเช่นที่เป็นขนบยึดถือกันมา แต่กลับเขียนรูปไตรภูมิ อันควรจะอยู่ข้างหลังองค์พระประธาน

บ้างผิดหวังที่เห็นว่า รูปไตรภูมิฝีมือพระครูสัง ผิดประหลาดกว่าที่เคยเห็นกันจนเจนตา ตามสมุดข่อย

บ้างก็ชื่นชมที่เห็นว่า ขรัวเฒ่าซ่อนเรื่องเสด็จโปรดพุทธมารดาและกลับจากดาวดึงส์ เอาไว้ในภาพไตรภูมิ และซ่อนเรื่องมหาปรินิพพานไว้ในรูปเขียนตอนแบ่งพระบรมสารีริกธาตุ ทางด้านซ้ายตอนบนของผนัง

บ้างก็เก้อไป เพราะเที่ยวคุยขโมงโฉงเฉงล่วงหน้าว่า สวยหยั่งงั้น สวยหยั่งงี้ แต่ครั้นเมื่อเห็นกับตาตัวเอง กลับตรงกันข้าม จึงต้องทำทีเป็นชมแบบฝืนปาก

ฉไกรช่างหนุ่ม หลุดโพล่งตามวิสัยโผงผางว่า “ไม่เห็นสวยเลยขอรับ พระคุณท่าน”
พระครูสัง อ่านสังเกตแววตาของช่างทั้งเจ็ดทีละราย อย่างถี่ถ้วนเนิ่นนาน แล้วจึงเอ่ยขึ้นช้า ๆ ว่า
“ข้าตรองดูแล้วว่า ผนังด้านหลังองค์พระประธานจะให้ใครเป็นคนเขียน เจ้าแผ้วนั่งอยู่ก่อน ที่เหลือออกไปได้”


“แผ้ว ข้าเลือกเอ็งก็เพราะเอ็งเป็นคนเดียวที่สงบสุด” พระครูสังแจงเหตุผล
“ไฉนเป็นเช่นนั้นล่ะพระคุณท่าน” เจ้าแผ้วถามด้วยความใคร่รู้

พระครูสังหลับตาช้า ๆ
…ข้าอยากจะให้รูปเขียนพวกนี้ คงทนสืบไปชั่วกาลนาน ข้าจึงตั้งจิตอธิษฐานกับองค์พระประธาน คืนนั้นท่านมาเข้าฝัน บอกไว้ให้เขียนผนังต่าง ๆ ยังไงบ้าง มันกลับหัวกลับหางไปหมดนะลูกเอ๋ย
...แต่ความเป็นหนึ่งเดียวไม่เหมือนใคร จะทำให้งานพุทธบูชาเหล่านี้ไม่มีวันเสื่อมสลาย สืบไปภายหน้า ผู้คนก็ยังต้องกล่าวขานถึง
...เดิมนั้น โบราณท่านนิยมเขียนมารประจญไว้ฝั่งตรงข้ามพระประธาน รูปนี้มีภูติยักษ์อมนุษย์เต็มไปหมด ของจึงแรง ต้องให้พระท่านช่วยคุ้มครองและสะกดอาถรรพ์ชั่วร้าย ครั้นเมื่อรูปมารประจญต้องย้ายไปไว้หลังองค์พระ จึงยิ่งหนักหน่วงกว่าเดิม ต้องใช้คนจิตแข็งจริง ๆ

...ใจข้าน่ะอยากจะเขียนเอง แต่ก็หูตาฝ้าฟางเกินฝืน ข้าจึงปิดโบสถ์เขียนรูป เพื่อวัดใจพวกเอ็งว่า ใครจะนิ่งสุด
...แผ้ว ข้าถามเอ็งคำเดียว จะรับหรือไม่รับ?”
“กระผมเต็มใจขอรับ พระคุณท่าน” ชายหนุ่มตอบฉะฉาน
ฉับพลันนั้นเอง ขรัวเฒ่าก็สะท้านเยือกไปทั้งกาย คล้ายในใจถูกพายุฝนกระหน่ำสาดจนเปียกชุ่ม