
เข้าสู่วงการเป็นมือใหม่ตระเวนฝึกสายตาดูจิตรกรรมฝาผนังได้ราว ๆ ครึ่งปี ผมก็เกิดความสนใจงอกเงย ‘บานปลาย’ อีกหลายแขนง อาทิเช่น เริ่มประทับใจลวดลายปูนปั้นตามโบราณสถานต่าง ๆ, หัดดูใบสีมา, ฟังดนตรีไทย, อ่านหนังสือจำพวกพงศาวดาร ประวัติศาสตร์ และโบราณคดี ฯลฯ
ล้วนแล้วแต่เป็นรสนิยมตามสมัยไม่ทัน ฝุ่นจับหนาเตอะทั้งสิ้น
แรกเริ่มก็เพื่อจะช่วยให้ดูจิตรกรรมฝาผนังเกิดอรรถรสอร่อยยิ่ง ๆ ขึ้น ต่อมาก็กลายเป็นความชอบความหลงใหลจริงจัง และติดงอมแงม รวมทั้งมีแนวโน้มว่าจะ ‘รั้งไม่หยุด ฉุดไม่อยู่ กู่ไม่กลับ’ อยากรู้อะไรต่อมิอะไรแบบ ‘เจาะเวลาหาอดีต’ เพิ่มเติมตลอดเวลา
ผมก็เลยค้นพบตัวเองขนานใหญ่ว่า แท้ที่จริงแล้ว ผมมีนิสัยอยากรู้อยากเห็น มีเชื้อไทยมุงผสมพันธุ์ปาปารัซซีอยู่ในสายเลือดอย่างเข้มข้น
เพียงแต่แปรความอยากรู้อยากเห็นนั้น เบนห่างจากเรื่องซุบซิบนินทา ข่าวลืออื้อฉาวคาวสวาท ฯ ไปสู่หัวข้อประเด็นอื่น ๆ ตามความสนใจส่วนตัว
พูดได้ว่า ในความเป็นเด็กเปรต (อ้วน ๆ) ผมมีวาสนาดีอยู่บ้างตรงที่ รักชอบสนใจหลายสิ่งในทางที่ถูกที่ควรดีงาม หรืออย่างน้อยที่สุดก็มีรสนิยมไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อตนเอง
ในบรรดาความสนใจ 353 สาขา 765 แขนงที่บวกเพิ่ม มีการวาดรูปรวมอยู่ด้วย
เริ่มต้นก็เจตนาจะสเก็ตช์ภาพคร่าว ๆ ว่า ผนังโบสถ์แต่ละแห่งที่ไปดูมา ด้านไหนวาดรูปอะไรบ้าง เหมือนเป็นบันทึกไว้กันลืม
ต่อมา ยิ่งผ่านตาภาพจิตรกรรมฝาผนัง ทั้งในสถานที่จริง รูปประกอบตามตำรับตำรา และภาพที่ผมถ่ายแล้วนำมาอัดไว้ดูเล่น
ดูบ่อย ๆ เข้า นอกจากจะยิ่งหลงใหลดื่มด่ำแล้ว ผลข้างเคียงก็คือ อาการคันไม้คันมือยุบยิบ
ผมก็เลยซื้อปากกา ซื้อกระดาษ และลงมือหัดวาดรูปเป็นการเอิกเกริก
เล่าย้อนหลังไปอีกนิดราว ๆ เกือบจะชาติที่แล้ว สมัยผมยังเป็นเด็กนั้น กิจกรรมที่เรียกได้ว่าเข้าข่าย ‘มีใจรัก’ คือ การอ่านการ์ตูน (ซึ่งคลี่คลายเป็นชอบอ่านหนังสือในเวลาต่อมา) และการวาดรูป
ผมยังจำภาพแรกที่วาดได้ ตอนนั้นอายุประมาณ 6 ขวบ เย็นวันหนึ่งผมนั่งอ่านการ์ตูน เจอรูปหมูอ้วนตลก ๆ ตัวหนึ่ง ผมก็หยิบกระดาษมาวางทาบ ใช้ดินสอลอกลาย จนกระทั่งสำเร็จ
จริง ๆ แล้วลอกทั้งดุ้นนะครับ ไม่ได้วาดเอง แต่สำหรับผมในตอนนั้น นั่นคือ การค้นพบครั้งสำคัญและยิ่งใหญ่มากในแวดวงศิลปะ ว่าบนโลกใบนี้มีสิ่งที่เรียกว่า การวาด อยู่ด้วย
ผมหลงใหลได้ปลื้มภาคภูมิใจกับภาพที่ลอกมาอยู่หลายสัปดาห์ พกพาติดตัวเที่ยวอวดใครต่อใคร แลกกับคำชมว่าเป็นศิลปินอัจฉริยะรุ่นเยาว์
จนวันหนึ่ง พี่ชายผมคงจะหมั่นไส้และเหลืออด จึงเฉลยความจริงว่า การใช้กระดาษวางทาบแล้วลอกลายตาม ไม่นับว่าเป็นการวาด ผิดกติกา ขี้โกง และไม่ใช่ฝีมืออันแท้จริง
โลกทั้งใบของผมพังทลายลงในชั่วกระพริบตา เหมือนซูเปอร์ฮีโร่ที่เพิ่งรู้ความจริงว่า ‘เหาะไม่ได้’ การลอยตัวโลดโผนที่ผ่าน ๆ มานั้น แท้จริงแล้วเป็นเพียงแค่เซถลาลื่นหกล้ม
พลันที่พบว่า ผมไม่มี ‘พลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งมาพร้อมกับความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่’ และเป็นเพียงหนูน้อยธรรมดาสามัญดาษดื่นพื้นฐานเช่นเดียวกับเด็กอื่น ๆ
ผมก็หัดบินทันที ด้วยการหยิบเอารูปหมูอ้วนตลก ๆ ตัวนั้นมาเป็นนายแบบ แล้วตั้งหน้าตั้งตาวาดมันอย่างคร่ำเคร่ง
ไม่เคยมีภาพไหนดีเท่ากับที่ลอกมาเลย หมูอ้วนตลก ๆ รุ่นต่อมา ล้วนโย้เย้เฉไฉบิดเบี้ยว บางภาพก็เหมือนหมาผอม ๆ บางภาพก็คล้ายแมวป่วยเป็นโรคท้องเดิน
อย่างไรก็ตาม ถึงผมจะไม่อาจเป็นซูเปอร์ฮีโรที่บินได้ แต่ผมก็กลายเป็นเด็กมือบอน ชอบวาดและขีดเขียนไปเรียบร้อยแล้ว
ผมก็วาดอะไรต่อมิอะไรก๊อกแก๊กเรื่อยมา จนเริ่มพัฒนาฝีมือและแรงงานอยู่ในขั้นพอดูได้
มาหายห่างร้างเลิกวางมือตอนสมัยเรียนมัธยม เหตุผลแท้จริงนั้นผมเลือน ๆ ไปแล้ว ถ้าจะให้คาดเดาสันนิษฐาน ทฤษฏีที่มีแนวโน้มความเป็นไปได้มากสุด (เมื่อประเมินจากซาก, หลักฐาน และร่องรอยทางโบราณคดีส่วนตัว) น่าจะสืบเนื่องจากว่า ผมติดหญิง มีความรัก และ...อกหักตามระเบียบ
เรื่องนี้ นักประวัติศาสตร์ นักวิชาการ ยังไม่ปลงใจเชื่อเด็ดขาด และรอการค้นพบปรากฏหลักฐานข้อมูลใหม่ ๆ อยู่เสมอ
ผมมาจับปากกาดินสอเพื่อวาดรูปอีกครั้ง ช่วงแตกเนื้อหนุ่มเปรี้ยงปร้างเป็นวัยรุ่น คราวนี้มีเหตุผลแน่ชัดว่า มุ่งมั่นวาดรูปเพื่ออวดหญิงจีบหญิง จนประสบความสำเร็จเกินคาด
เกินคาด...นี้หมายถึง อกหักผิดหวังกระจุยกระจายเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับสูง
มานึกทบทวนย้อนหลังแล้วก็สมควรอยู่ สาวที่ไหนจะมาชอบล่ะครับ มัวแต่ตะบี้ตะบันวาดรูปการ์ตูนให้อยู่นั่นแหละ แต่ไม่เคยชวนไปดูหนัง ไม่เคยชวนไปกินข้าว ไม่เคยชวนไปออกเดท ไม่เคยพูดจาอะไรที่ใกล้เคียงกับคำว่า ‘จีบ’
ให้ผมในอายุปัจจุบัน ย้อนเวลากลับไปยังอดีตหน่อยไม่ได้ รับรองหวานเลี่ยนเอียนกึ๋ยส์ อ้วกแตกกันระนาวเลยทีเดียว
ผมอกหักจนวาดรูปอยู่ในเกณฑ์ดี ทว่าพ้นจากเป้าหมายวาดให้สาว ๆ แตกตื่นฮือฮาแล้ว ก็ไม่เคยมีเป้าหมายอื่นใด ไม่เคยฝันใฝ่อยากเป็นศิลปิน ไม่อยากรังสรรค์งานศิลป์ไว้จรรโลงโลก
วาดเพราะวาดได้ และชอบเท่านั้นเอง
พ้นจากช่วงระยะวาดเพื่อแสวงหา (แฟน) แล้ว ผมก็ฝึกมือต่อเนื่องเรื่อยมาอีกหลายปี จนรู้ถ่องแท้แก่ใจว่า อยากร่ำเรียนทางด้านนี้ให้เป็นกิจจะลักษณะ
ถึงตอนนั้นก็ช้าเกินไป ผมจวนเจียนจะจบระดับปวส. ใกล้เวลาต้องออกหางานทำเต็มที
ผมมาเลิกหยุดวาดรูปเด็ดขาดจริง ๆ ตอนอายุยี่สิบต้น ๆ เมื่อเพื่อนไม่สนิทผู้หวังดีแบบประสงค์ร้ายคนหนึ่ง ออกความเห็นต่อหน้าธารกำนัลจำนวนมากว่า รูปที่ผมวาด ดูผิวเผินก็สวยดีอยู่หร็อก แต่จริง ๆ แล้ววาดมั่ว และใช้ความมั่วมากลบเกลื่อนพื้นฐานฝีมือที่ไม่แน่น
เป็นความเห็นที่ทำให้ผมทั้งเจ็บทั้งอาย และก็จริงเสียด้วย ตรงที่ว่า ผมวาดมั่ว เนื่องจากเรียนฝึกเองดุ่ย ๆ ตามลำพัง ไม่เคยรู้หลักวิชาใด ๆ
ผมในเวลานั้นไม่รู้เลยว่า หากฝึกมือต่อไปตามวิธีของตนเอง ประสบการณ์, ความคิดอ่าน การลองผิดลองถูก จะค่อย ๆ ขัดเกลาความมั่วให้หมดไป และสามารถบ่มเพาะสร้างฝีมืออันจัดเจนขึ้นมาได้
ผมเป็นมนุษย์พันธุ์ไม่เชื่อมั่นในตนเองเป็นทุนเดิมอยู่ก่อนแล้ว เจอะเจอความเห็นเชิงลบของเพื่อนเข้าไป ก็ยิ่งจบเห่
อีกปัจจัยหนึ่ง ซึ่งมีน้ำหนักมากพอ ๆ กัน นั่นคือ ระหว่างที่สนใจหลงใหลการขีดเขียนวาดรูป ผมก็แวะไปดูนิทรรศการศิลปะต่าง ๆ ตามหอศิลป์หลายแห่ง รวมทั้งโฉบไปป้วนเปี้ยนแถว ๆ มหาวิทยาลัยศิลปากร (ด้วยความอยากเรียนที่นั่นเป็นอย่างยิ่ง)
ตรงนี้ทำให้ผมได้เห็นฝีมือของคนหนุ่มอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน และพอนำมาเปรียบกันแล้ว ผมก็นึกท้อถอดใจ เพราะรู้ตัวว่า ฝีมือห่างกันหลายล้านปีแสง
ผมมองตัวเองคนที่เป็นเด็กหนุ่มในอดีตแล้วก็เห็นใจต่อความไร้เดียงสาของเขานะครับ ควบคู่กันนั้นผมก็ขอบคุณที่เขาเป็นอย่างที่เป็นอยู่ จนเกิดกลายเป็นผมในปัจจุบัน
เรื่องหันหลังให้กับการวาดรูป เป็นกรณีอกหักในด้านการใช้ชีวิตครั้งใหญ่สุดของผม เป็นเรื่องเศร้าเสียดายที่ไม่เคยเลือนหาย แต่แง่ดีงามนั้นมีอยู่คือ ส่งผลให้ผมเลือกเดินมาอีกทาง...เป็นคนเขียนหนังสือ
ในละครชีวิต บางทีเราก็ไม่สมหวังกับสิ่งที่รักและอยากเป็นมากสุดหรอกนะครับ นางเอกหรือคู่แท้บุพเพสันนิวาสแต่ชาติปางก่อน อาจเป็นอีกสิ่งหนึ่ง
พูดได้ว่า ท้ายสุดแล้วทั้งโชคชะตาและการเลือกตัดสินใจของผมเอง ได้ประกอบรวมกัน จนนำพาผมมาสู่การเป็นนักเขียนสาขาใฝ่รู้ แต่เกียจคร้าน
เล่ากระโดดจากอดีตกลับมาสู่ปัจจุบัน วาระแรก ๆ ที่หวนคืนเวทีวาดรูปอีกครั้ง ผมพบว่า มือไม้สายตาไม่อยู่ในโอวาท สนิมจับเกาะแน่น เส้นสายแข็งทื่อ สัดส่วนรูปทรงผิดพลาดฉกาจฉกรรจ์
หากเทียบว่าผมในวัยรุ่นวาดรูปมั่ว ๆ แล้วล่ะก็ ผลงานในปัจจุบันก็เข้าข่าย ‘ก่อการร้าย’ ทางด้านวิชาวาดเขียนเลยนะครับ
เละเทะดูไม่จืด และล้าหลังถดถอยจนน่าตกใจ
กระนั้นก็ตาม ‘ยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ’ ของผม มีจุดมุ่งหมายที่เติบโตทางความคิดขึ้น ไม่ได้เจตนาจะวาดอวดให้ใครอื่นมาดูมาชื่นชม ไม่ได้หวังผลลัพธ์ว่าฝีมือจะต้องเลอเลิศ
แค่วาดเพื่อตอบสนองความชอบและใจรักตามลำพัง
เล่นโวหารสำนวนสักหน่อยก็ต้องบอกว่า ไม่ได้วาดเพื่อหวังให้รูปออกมาสวย แต่วาดเพื่อจะดูรูปผลงานของศิลปินอื่น ๆ ให้ซาบซึ้งเข้าใจดียิ่งขึ้น
กล่าวคือ ใช้ความอ่อนด้อยบกพร่องของตนเอง เป็นเครื่องมือค้นหาความดีงามคุณค่าวิเศษในผลงานชั้นเยี่ยมของผู้อื่น
ผมกลับมาหัดวาดรูปอีกครั้ง ช่วงเวลาเดียวกับที่เขียนเรื่องอาจารย์เฟื้อ หริพิทักษ์ นั้นทำให้ผมได้รับเคล็ดวิชาสำคัญ นั่นคือ วาดโดยไม่กลัวว่าจะออกมาเสีย ออกมาแย่ ผิดตรงไหน ก็สามารถวาดใหม่แก้ไขได้ เท่าที่ใจต้องการ
หลักยึดนี้ใช้ได้ครอบคลุมถึงการทำงานเขียนหนังสือ, ทุกวิชาชีพ และการดำเนินชีวิต คล้าย ๆ กับที่’รงค์ วงษ์สวรรค์กล่าวไว้ว่า ‘ฆ่างาน ก่อนที่งานจะฆ่าเรา’
งานที่ต้องฆ่ากำจัด เปรียบแล้วก็เหมือนรูปที่วาดผิด หรือฝีมือยังไม่ดีพอนะครับ
ผ่านมา 7-8 เดือน โดยการหาเวลาเก็บเล็กผสมน้อยซ้อมมือทุกวัน ผมคิดว่ารูปที่วาดระยะหลัง ๆ กระเตื้องขึ้นในทางบวก
ถึงตรงนี้ผมรู้ซึ้งแล้วว่า ตลอดประมาณ 20 ปีที่ผ่านมา หากผมวาดต่อเนื่องโดยไม่ทิ้งขว้าง ป่านนี้ฝีมือก็คงมีการ ‘ยกระดับ’ อยู่บ้างเหมือนกัน
คล้าย ๆ การเขียนหนังสือ ผมเริ่มจากเตาะแตะแบบเด็กหัดเดิน พลาดพลั้งเกิดแผลใหม่ ๆ อยู่เรื่อย ๆ อาศัยการค่อย ๆ ทำ ค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนเรียนรู้ จนผ่านวันเวลาต่อเนื่องมาระยะหนึ่ง ก็ก่อรูปเกิดร่างเป็นทักษะฝีมือที่พอจะไปวัดไปวาตอนสาย ๆ ได้
เรื่องกลับมาหัดวาดรูป เปรียบแล้วก็คล้ายผมพบเจอความฝันชิ้นหนึ่งซึ่งหล่นอยู่กลางทาง และหยิบมันขึ้นมาปัดฝุ่น
ทำยังไงก็ไม่มีวันใหม่สะอาดแวววาวไปถึงปลายทางที่เคยหวังไว้หรอกนะครับ แต่มันยังคงเป็นความฝันเดิมที่ผมเคยมี และผมดีใจที่ตอนนี้ฝันนั้นอยู่ในมือ
เหลือแต่เรื่องความรักนี่แหละที่ยังต้องเหนื่อยกันต่อไป ผมเพิ่งค้นพบตัวเองว่า นอกจากจะไม่หล่อ จน เกเร และลงพุงแล้ว ผมยังจู้จี้จุกจิกช่างเลือกและใฝ่สูงไม่ค่อยเจียมตัวอย่างแรง
สวยน่ารักระดับน้องแพนเค้ก ยังโดนผมปฏิเสธตัดสัมพันธ์มาแล้วนักต่อนัก ด้วยคำพูดเด็ดขาดเหี้ยมเกรียมว่า “ระหว่างเราสองคน ต่างฝ่ายต่างไปตามทางของตัวเองดีกว่านะครับ”
เป็นการพูดออกไป โดยที่สาวเจ้าแต่ละคนยังไม่เคยมีโอกาสได้รู้จักผม
ผมพูดพึมพำของผมคนเดียว อีตอนเดินเฉียดสวนกันในระยะห่างห้าเมตร
พูดเสร็จแล้ว นักหักอกหญิงอย่างผม ก็น้ำตาซึม สงสารและทุเรศตัวเองชิบเป๋งเลย