
หลายวันมานี้ผมติดเล่น Facebook จนวินิจฉัยฟันธงได้แบบไม่ต้องพึ่งพาจิตแพทย์ว่า น่าจะอาการเพียบหนัก
ยังไม่ถึงกับเสียงานหรอกนะครับ ยังเขียนหนังสือได้ตามปกติ และเขียนอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอมากกว่าเดิมนิดหน่อย
แต่มาเละเทะกระจุยกระจาย ตรงที่มันทำให้ผมไม่ได้เข้าออฟฟิศ (ห้องสมุด) เลย ตลอดทั้งสัปดาห์ และอ่านหนังสือน้อยลง
จึงต้องล้างแค้นให้สะอาดผ่องใส ด้วยการหยิบเรื่องนี้มาเขียนถึง เพื่อเป็นการถอนทุนเอาคืน
เรื่องคงเริ่มต้นขึ้นประมาณหลายเดือนก่อน มีรุ่นน้องรายหนึ่ง ส่งเทียบชวนผมมาทางอีเมล์ให้เข้าสู่วงการ และตอบรับเขาเป็นเพื่อน
ตอนนั้น (รวมถึงตอนนี้) ผมไม่รู้หรอกนะครับว่า Facebook คืออะไร? มีประโยชน์หน้าที่ใช้สอยอย่างไร?
ผมก็เข้าไปลงทะเบียนสมัคร เพื่อตอบรับรุ่นน้องคนนั้นเป็นเพื่อน แล้วก็เกิดอาการเหวอ ๆ ได้แต่มองตาปริบ ๆ ทำอะไรไม่ถูก ไปไม่เป็น
จากนั้นก็ไม่ได้เฉียดใกล้เข้าไปเยือนอีกเลย
ในความถั่วโหลยโท่ยไม่เอาไหนอย่างรุนแรงของผม เรื่องสารพันบรรดามีเกี่ยวกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ นับเป็นของแสลงลำดับต้น ๆ
อาการเดียวกับตอนได้โทรศัพท์มือถือเครื่องแรกในชีวิตมาฟรี ๆ เมื่อ 4 ปีที่แล้ว
มีกิจกรรมโปรโมทคุณสมบัติของโทรศัพท์รุ่นที่ว่า ซึ่ง ‘ล้ำ’ มากในขณะนั้น คือ สามารถถ่ายวิดีโอ และตัดต่อลำดับภาพได้ ถ่ายภาพนิ่งได้ และอีกหลาย ๆ ประการ (ซึ่งจนถึงบัดนี้ ผมก็ยังโง่สนิท)
กิจกรรมนั้นก็คือ ให้ผู้กำกับหนัง, นักแสดง และนักวิจารณ์ ประมาณสิบกว่าชีวิต ใช้โทรศัพท์รุ่นที่ว่า ผลิตหนังสั้นคนละหนึ่งเรื่อง
ผมก็ได้มากับเขาเครื่องหนึ่ง รับมอบเสร็จสรรพ หยิบคู่มือใช้งานมาอ่าน ก็ร่ำ ๆ ว่าจะนำไปถวายคืนทันที
ไม่รู้เรื่องโดยสิ้นเชิงนะครับ ตกใจถึงขั้นนั่งกลัดกลุ้มนอนไม่หลับ
จนเพื่อนจ๋อง-พงศ์นรินทร์ อุลิศ ต้องปลอบใจว่า “ทำใจดี ๆ ไว้ ค่อย ๆ กดปุ่มโน่นนี่นั่นไปเรื่อย ๆ ประเดี๋ยวก็ใช้เป็น”
ผมก็นำโอวาทคำชี้แนะของกัลยาณมิตร กลับมาทำการทดลองที่บ้าน ลองผิดลองถูก กระทั่งท้ายสุดก็สำเร็จเป็นหนังสั้นเรื่อง ‘องค์เป็ด’ ส่งมอบเอาตัวรอดมาได้ แบบผมหงอกร่วงโรยเกินวัยไปอีกหลายปี
ต่อมา ผมก็ใช้โทรศัพท์มือถือที่ได้มาฟรี แทนกล้องถ่ายรูป และใช้ทำหน้าที่อยู่แค่นั้น ใช้โทรฯ เข้า โทรฯ ออกไม่เป็น
ปราบดา หยุ่นเคยเห็นการใช้โทรศัพท์แบบไม่สมศักดิ์ศรีของผม ถึงกับอำว่า “พี่ไม่ลองเอาโทรศัพท์มาโกนหนวดดูบ้าง อาจจะเวิร์คและคุ้มขึ้นบ้างนะครับ”
ไม่กี่วันต่อมา ผมก็ขายโทรศัพท์ มีคนแย่งกันเสนอราคางาม ๆ หลายราย เกือบจะเป็นการประมูลเลยทีเดียว เนื่องจากรุ่นมันใหม่มาก และยังไม่มีวางขายตามท้องตลาด (ล่าสุดโทรศัพท์รุ่นนี้กลายเป็นโบราณวัตถุในยุคสมัยก่อนประวัติศาสตร์ไปเรียบร้อยแล้ว)
ตามประสายอดนักธุรกิจจอมเก็งกำไรนะครับ ผมจึงขายให้เพื่อนจ๋องในราคาครึ่งหนึงของความเป็นจริง ได้ตังค์มาหมื่นบาท
แล้วนำเงินนั้นไปซื้อกล้องถ่ายรูปดิจิตอล ซึ่งแพงกว่าเท่าตัว (รวมทั้งเสียเวลาตกใจกับวิธีการใช้งานไปอีกหลายวัน)
ส่วนโทรศัพท์มือถือ ผมเพิ่งซื้อเพื่อใช้งานในฐานะโทรศัพท์จริง ๆ ประมาณครึ่งปีที่ผ่านมานี้เอง (เหมือนเดิมครับ คือ วุ่นวายโกลาหลขนานใหญ่ กว่าจะรู้วิธีกดปุ่มรับสายตอนที่มีคนโทรฯ มาหา โดนค่อนขอดนินทาว่าหยิ่งไม่ยอมรับโทรศัพท์อยู่ร่วม ๆ หนึ่งเดือน)
ทันทีที่ปรากฎข่าวว่า ผมได้ซื้อโทรศัพท์มือถือเรียบร้อยแล้ว แพร่กระจายสู่แวดวงญาติมิตรที่รู้จัก
อาทิตย์แรกผมแทบไม่ต้องทำอะไรเลย นั่งรับโทรศัพท์อย่างเดียว ทั้งหมดโทรฯ มาเพื่อลองของ เหมือนทำการพิสูจน์เรื่อง ‘แปลกแต่จริง’ ยังไงยังงั้นเชียว
บางรายหนักข้อถึงขั้น นำเบอร์โทรศัพท์ของผมไปแทงหวย
ใบ้หวยแม่นนะครับ เลขท้ายสองตัวงวดนั้นตรงกับเบอร์โทรศัพท์ของผมเป๊ะ ๆ เลย
เทคโนโลยีล่าสุดที่บ้านผม คือ มีเครื่องสแกนรูป
จู่ ๆ บินหลา สันกาลาคีรี ก็ยกให้ผมฟรี ๆ
ข่าวดีคือ ที่ได้มามีแต่ตัวเครื่องล้วน ๆ ไม่มีสายสำหรับต่อเชื่อมใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่มีแม้กระทั่งคู่มือใช้งาน
ตอนนี้ผมใช้เครื่องสแกนรูปคล่องแล้วนะครับ แต่ใช้แทนอุปกรณ์ยกน้ำหนักออกกำลังกาย
ความไม่เอาไหนด้านเทคโนโลยีต่าง ๆ นานาที่ผ่านมาในชีวิต ทำให้ผมกลัว ๆ แหยง ๆ Facebook ไม่ค่อยกล้าข้องแวะ
แต่แล้ววันหนึ่ง ผู้คนรอบ ๆ ตัวผม ก็เล่น Facebook กันอย่างเอิกเกริก ต่อหน้าต่อตา วันละหลาย ๆ ชั่วโมง
ลูกอีช่างอยากรู้อยากเห็น อยากก้าวให้ทันโลกบ้าง แต่มักจะตกกระแสล้าหลังสม่ำเสมออย่างผม จึงตัดสินใจกระโดดเข้าสู่วงการ Facebook เต็มตัว
แล้วก็พบว่า เนิ่นนานผ่านมาหลายเดือน ผมจำ password ที่ลงทะเบียนไว้ไม่ได้
อะไรก็ตามแต่ที่ต้องใช้ password เป็นใบเบิกทาง ผมนิยมใช้รหัสเดียวเหมือนกันหมด เพื่อกันลืม
พอใส่รหัสที่ตั้งไว้แล้วเข้าไม่ได้ ผมก็ลอง password สำรองอีกสองสามชื่อที่คิดเผื่อ ผลปรากฏว่าเข้าไม่ได้
ผ่านไปอีกหลายเดือน บ่ายวันหนึ่ง ขณะผมกำลังนั่งคิดถึงเรื่องทฤษฏีแรงโน้มถ่วงของเซอร์ไอแซค นิวตัน อยู่ที่ใต้ต้นมะม่วง
พลันลูกมะม่วงก็ตกใส่หัว จนผมระลึกชาติได้ว่า password นั้นถูกต้องแล้ว ที่ผิดคือ ผมใช้อีกอีเมล์หนึ่ง
เข้า Facebook ได้แล้ว ผมก็เป็นบ้านนอกเข้ากรุง ไม่รู้ว่าสนามหลวงอยู่ตรงไหน? จะไปอนุสาวรีย์ชัยฯ ต้องขึ้นรถเมล์สายอะไร? ไม่รู้วิธีหาเพื่อนหาพวกหรือเล่นเกมใด ๆ ในนั้นทั้งสิ้น
ระยะแรกจึงต้องพึ่งใบบุญ ขอ add บรรดาคนคุ้นเคยที่เห็นหน้าค่าตากันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
แต่คนมันพบมันเจอกันอยู่จนชินตา จะไปสนทนาวิสาสะอีกใน Facebook ผมก็รู้สึกแปร่ง ๆ แปลก ๆ ไม่รู้ว่าจะคุยอะไร?
ผมจึงเริ่มไล่ลำดับญาติโยมที่รู้จัก แต่ไม่มีโอกาสพบปะกันมานาน แล้วผมก็นึกถึงอี่น้องคนงามนามว่าสาวจูน
ผมก็เลยโทรศัพท์ไปหา ถามซื่อ ๆ ตรง ๆ ว่าเล่น Facebook หรือเปล่า? ถ้าเล่นใช้ชื่ออะไร? แล้วก็จดใส่สมุด
สาวจูนก็มีทีท่าว่างง ๆ อยู่เหมือนกัน ร้อยวันพันปีไม่เคยโทรศัพท์มาหา จู่ ๆ ก็โทรศัพท์มาขอ add เป็นเพื่อนใน Facebook ซะยังงั้น
“ไม่ค่อยน่าไว้ใจเลยเน้อ พี่คิดแผนชั่วอะไรไว้รึเปล่าเน้อ?” สาวจูนเธอมีเอกลักษณ์อย่างหนึ่ง ตรงคำลงท้ายว่า เน้อ อยู่แทบทุกประโยคคำพูด
ผมไม่ได้ตอบคำถามนี้ ทว่าพยักหน้ายอมรับแต่โดยดี
จากนั้นผมก็โทรศัพท์ไปหาญาติโยมอีกสองสามราย ด้วยแผนชั่วแบบเดียวกัน
แล้วก็อาศัยรายชื่อเพื่อนของเพื่อน ค่อย ๆ ค้นหาคนรู้จักไปทีละรายสองราย
สะสมจำนวนญาติมิตรได้พอสมควร ผมก็ยังทำอะไรไม่ถูก ใช้งานไม่เป็นเช่นเดิม
ผมมาติด Facebook ตอนนี้นี่เอง ตอนที่เริ่มเจอพรรคพวกเพื่อนฝูงจำนวนมากในนั้น ระยะเวลาที่ไม่ได้เจอทุกคนรวมกัน สามารถย้อนยุคกลับไปถึงสมัยอยุธยายังไม่เสียกรุงครั้งที่ 2 เลยทีเดียว
ติดต่อขอเป็นเพื่อนกับใครต่อใครเขาไปทั่ว เสร็จสรรพแล้ว ผมก็ปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้น ยังไม่ค่อยได้ข้องแวะแตะต้องติดต่อสื่อสารอะไรทั้งสิ้น
มากและบ่อยสุด คือ ตอบรับคำทักทายสั้น ๆ จากบรรดาคุณโยมทั้งหลาย ซึ่งเข้ามากรี๊ดกระจาย แสดงความแปลกใจที่มนุษย์ไฮถึกดึกดำบรรพ์อย่างผม เล่น Facebook
รู้สึกอยู่เหมือนกันว่า สภาพ สถานะของผมประดุจดัง ปลาหมึกพอลว่ายน้ำอยู่ในตู้หลังจบบอลโลก มีนักท่องเที่ยวแวะเวียนเข้ามาเยี่ยมเยียน ชี้ชวนกันดูอย่างขำ ๆ แล้วก็จากไป
เจอบ่อยเข้า ผมก็ร่ำ ๆ ว่า แทบจะลุกขึ้นมาสาธิตวิธีการทำนายผลบอลโลกครั้งต่อไป ให้เป็นที่ประจักษ์ฮือฮาในความแม่นยำบ้าง
ทันใดนั้นเอง ผมก็คิดแผนชั่วขึ้นมาได้ลาง ๆ
แผนนั้นง่าย ๆ ครับ คือ คิดว่า Facebook น่าจะเป็นตัวเชื่อมต่อสื่อสารระหว่างผมกับผู้อ่าน, เพื่อนฝูง และคนที่เคารพนับถือจำนวนมาก
คล้าย ๆ เป็นที่แถลงข่าว แลกเปลี่ยนสอบถามข้อมูล ทักทายสารทุกข์สุกดิบ
รวมทั้งใช้เป็นที่แจ้งเหตุเกี่ยวกับความคืบหน้าต่าง ๆ ในการอัพเดตบล็อก ประกาศสถานการณ์ทั้งฉุกเฉินและเฉื่อยชา ราชการทั้งหลายประดามีของตัวผมเอง
ประโยชน์การใช้สอยคร่าว ๆ กว้าง ๆ ของ Facebook ตามความเข้าใจผม น่าจะและคงจะอยู่ตรงแถว ๆ นี้
ในข้อมูลส่วนตัวของผม มีช่องให้กรอกว่า เข้ามาเพื่อจุดมุ่งหมายความประสงค์ใด? ระหว่างหาเพื่อน และอีกสองสามอย่าง
ผมระบุไปว่า เครือข่าย
จะเป็นเครือข่ายขึ้นมาได้ จำนวนนั้นต้องเยอะ เพราะเหตุนี้เอง หลายวันที่ผ่านมา ผมจึงก้มหน้าก้มตา ค้นหาเพื่อนใน Facebook อย่างคร่ำเคร่ง
ผมเขียนถึงเรื่องนี้ลงในบล็อก ก็เพื่อจะบอกกล่าวเล่าสู่ให้มิตรรักแฟนเพลงที่ติดตามอ่าน (และรอจนลืมว่า เมื่อไหร่มันจะอัพเดตบล็อก) ได้ทราบโดยทั่วกัน เพื่อให้สามารถติดต่อสื่อสารใน Facebook เพิ่มขึ้นอีกช่องทาง ซึ่งน่าจะสะดวกคล่องตัวยิ่งกว่า
ขณะเดียวกัน ผมก็พยายามจะป่าวประกาศใน Facebook เพื่อเชื้อเชิญให้ญาติโยมทางนั้น ได้รับทราบเกี่ยวกับความคืบหน้าของบล็อก
พูดตามตรงก็เหมือน ผมกำลังโฆษณาขายของนะครับ และผมก็เชื่อว่าผมทำอย่างนั้นจริง ๆ แบบไม่มีอะไรต้องแก้ตัว
ชื่อที่ผมใช้ใน Facebook คือ จ้อย นรา
ผมรับ add ด้วยความเต็มใจนะครับ และขอถือโอกาสขอบคุณทุกท่านที่นับผมเป็นเพื่อน (ทั้งในตอนนี้และอนาคตข้างหน้า)
มีเรื่องจะชี้แจงอย่างเดียวคือ ระหว่างนี้ผมยังเงอะงะมะงุมมะงาหรา (เชื่อหรือยังครับว่าผม in trend มาก ขนาดศัพท์ที่ใช้ยังอยู่แถว ๆ วรรณคดีเรื่อง ‘อิเหนา’เลย คำนี้แปลเป็นสำนวนไอทีได้ว่า random) และกำลังอยู่ในขั้นตอนเรียนรู้การใช้งาน จึงเป็นไปได้มากเหลือเกินว่า เมื่อเป็นเพื่อนกันแล้ว ผมอาจจะวางตัวนิ่งเฉย ไม่ได้ทักทายพูดคุยสุงสิงกับใคร
ไม่ได้หยิ่งหรอกนะครับ เป็นเรื่องของมือใหม่ อ่อนหัด ขาดประสบการณ์ ซื่อใส ไร้เดียงสา ล้วน ๆ เลย
1 ความคิดเห็น:
อยากติดตามผลงานคุณนรานะคะ
แต่ยังเล่นเฟซบุคไม่เป็นเลยอ่ะค่ะ
ไม่รู้เป็นไง มีชื่ออยู่ในนั้นเป็นปีๆ แล้ว แต่ไม่คิดจะหัดใช้สักที)
xiongmaoer (the technophobe)
แสดงความคิดเห็น