วันศุกร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Facebook Story โดย 'นรา'


หลายวันมานี้ผมติดเล่น Facebook จนวินิจฉัยฟันธงได้แบบไม่ต้องพึ่งพาจิตแพทย์ว่า น่าจะอาการเพียบหนัก

ยังไม่ถึงกับเสียงานหรอกนะครับ ยังเขียนหนังสือได้ตามปกติ และเขียนอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอมากกว่าเดิมนิดหน่อย

แต่มาเละเทะกระจุยกระจาย ตรงที่มันทำให้ผมไม่ได้เข้าออฟฟิศ (ห้องสมุด) เลย ตลอดทั้งสัปดาห์ และอ่านหนังสือน้อยลง

จึงต้องล้างแค้นให้สะอาดผ่องใส ด้วยการหยิบเรื่องนี้มาเขียนถึง เพื่อเป็นการถอนทุนเอาคืน

เรื่องคงเริ่มต้นขึ้นประมาณหลายเดือนก่อน มีรุ่นน้องรายหนึ่ง ส่งเทียบชวนผมมาทางอีเมล์ให้เข้าสู่วงการ และตอบรับเขาเป็นเพื่อน

ตอนนั้น (รวมถึงตอนนี้) ผมไม่รู้หรอกนะครับว่า Facebook คืออะไร? มีประโยชน์หน้าที่ใช้สอยอย่างไร?

ผมก็เข้าไปลงทะเบียนสมัคร เพื่อตอบรับรุ่นน้องคนนั้นเป็นเพื่อน แล้วก็เกิดอาการเหวอ ๆ ได้แต่มองตาปริบ ๆ ทำอะไรไม่ถูก ไปไม่เป็น

จากนั้นก็ไม่ได้เฉียดใกล้เข้าไปเยือนอีกเลย

ในความถั่วโหลยโท่ยไม่เอาไหนอย่างรุนแรงของผม เรื่องสารพันบรรดามีเกี่ยวกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ นับเป็นของแสลงลำดับต้น ๆ

อาการเดียวกับตอนได้โทรศัพท์มือถือเครื่องแรกในชีวิตมาฟรี ๆ เมื่อ 4 ปีที่แล้ว

มีกิจกรรมโปรโมทคุณสมบัติของโทรศัพท์รุ่นที่ว่า ซึ่ง ‘ล้ำ’ มากในขณะนั้น คือ สามารถถ่ายวิดีโอ และตัดต่อลำดับภาพได้ ถ่ายภาพนิ่งได้ และอีกหลาย ๆ ประการ (ซึ่งจนถึงบัดนี้ ผมก็ยังโง่สนิท)

กิจกรรมนั้นก็คือ ให้ผู้กำกับหนัง, นักแสดง และนักวิจารณ์ ประมาณสิบกว่าชีวิต ใช้โทรศัพท์รุ่นที่ว่า ผลิตหนังสั้นคนละหนึ่งเรื่อง

ผมก็ได้มากับเขาเครื่องหนึ่ง รับมอบเสร็จสรรพ หยิบคู่มือใช้งานมาอ่าน ก็ร่ำ ๆ ว่าจะนำไปถวายคืนทันที

ไม่รู้เรื่องโดยสิ้นเชิงนะครับ ตกใจถึงขั้นนั่งกลัดกลุ้มนอนไม่หลับ

จนเพื่อนจ๋อง-พงศ์นรินทร์ อุลิศ ต้องปลอบใจว่า “ทำใจดี ๆ ไว้ ค่อย ๆ กดปุ่มโน่นนี่นั่นไปเรื่อย ๆ ประเดี๋ยวก็ใช้เป็น”

ผมก็นำโอวาทคำชี้แนะของกัลยาณมิตร กลับมาทำการทดลองที่บ้าน ลองผิดลองถูก กระทั่งท้ายสุดก็สำเร็จเป็นหนังสั้นเรื่อง ‘องค์เป็ด’ ส่งมอบเอาตัวรอดมาได้ แบบผมหงอกร่วงโรยเกินวัยไปอีกหลายปี

ต่อมา ผมก็ใช้โทรศัพท์มือถือที่ได้มาฟรี แทนกล้องถ่ายรูป และใช้ทำหน้าที่อยู่แค่นั้น ใช้โทรฯ เข้า โทรฯ ออกไม่เป็น

ปราบดา หยุ่นเคยเห็นการใช้โทรศัพท์แบบไม่สมศักดิ์ศรีของผม ถึงกับอำว่า “พี่ไม่ลองเอาโทรศัพท์มาโกนหนวดดูบ้าง อาจจะเวิร์คและคุ้มขึ้นบ้างนะครับ”

ไม่กี่วันต่อมา ผมก็ขายโทรศัพท์ มีคนแย่งกันเสนอราคางาม ๆ หลายราย เกือบจะเป็นการประมูลเลยทีเดียว เนื่องจากรุ่นมันใหม่มาก และยังไม่มีวางขายตามท้องตลาด (ล่าสุดโทรศัพท์รุ่นนี้กลายเป็นโบราณวัตถุในยุคสมัยก่อนประวัติศาสตร์ไปเรียบร้อยแล้ว)

ตามประสายอดนักธุรกิจจอมเก็งกำไรนะครับ ผมจึงขายให้เพื่อนจ๋องในราคาครึ่งหนึงของความเป็นจริง ได้ตังค์มาหมื่นบาท

แล้วนำเงินนั้นไปซื้อกล้องถ่ายรูปดิจิตอล ซึ่งแพงกว่าเท่าตัว (รวมทั้งเสียเวลาตกใจกับวิธีการใช้งานไปอีกหลายวัน)

ส่วนโทรศัพท์มือถือ ผมเพิ่งซื้อเพื่อใช้งานในฐานะโทรศัพท์จริง ๆ ประมาณครึ่งปีที่ผ่านมานี้เอง (เหมือนเดิมครับ คือ วุ่นวายโกลาหลขนานใหญ่ กว่าจะรู้วิธีกดปุ่มรับสายตอนที่มีคนโทรฯ มาหา โดนค่อนขอดนินทาว่าหยิ่งไม่ยอมรับโทรศัพท์อยู่ร่วม ๆ หนึ่งเดือน)

ทันทีที่ปรากฎข่าวว่า ผมได้ซื้อโทรศัพท์มือถือเรียบร้อยแล้ว แพร่กระจายสู่แวดวงญาติมิตรที่รู้จัก

อาทิตย์แรกผมแทบไม่ต้องทำอะไรเลย นั่งรับโทรศัพท์อย่างเดียว ทั้งหมดโทรฯ มาเพื่อลองของ เหมือนทำการพิสูจน์เรื่อง ‘แปลกแต่จริง’ ยังไงยังงั้นเชียว

บางรายหนักข้อถึงขั้น นำเบอร์โทรศัพท์ของผมไปแทงหวย

ใบ้หวยแม่นนะครับ เลขท้ายสองตัวงวดนั้นตรงกับเบอร์โทรศัพท์ของผมเป๊ะ ๆ เลย

เทคโนโลยีล่าสุดที่บ้านผม คือ มีเครื่องสแกนรูป

จู่ ๆ บินหลา สันกาลาคีรี ก็ยกให้ผมฟรี ๆ

ข่าวดีคือ ที่ได้มามีแต่ตัวเครื่องล้วน ๆ ไม่มีสายสำหรับต่อเชื่อมใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่มีแม้กระทั่งคู่มือใช้งาน

ตอนนี้ผมใช้เครื่องสแกนรูปคล่องแล้วนะครับ แต่ใช้แทนอุปกรณ์ยกน้ำหนักออกกำลังกาย

ความไม่เอาไหนด้านเทคโนโลยีต่าง ๆ นานาที่ผ่านมาในชีวิต ทำให้ผมกลัว ๆ แหยง ๆ Facebook ไม่ค่อยกล้าข้องแวะ

แต่แล้ววันหนึ่ง ผู้คนรอบ ๆ ตัวผม ก็เล่น Facebook กันอย่างเอิกเกริก ต่อหน้าต่อตา วันละหลาย ๆ ชั่วโมง

ลูกอีช่างอยากรู้อยากเห็น อยากก้าวให้ทันโลกบ้าง แต่มักจะตกกระแสล้าหลังสม่ำเสมออย่างผม จึงตัดสินใจกระโดดเข้าสู่วงการ Facebook เต็มตัว

แล้วก็พบว่า เนิ่นนานผ่านมาหลายเดือน ผมจำ password ที่ลงทะเบียนไว้ไม่ได้

อะไรก็ตามแต่ที่ต้องใช้ password เป็นใบเบิกทาง ผมนิยมใช้รหัสเดียวเหมือนกันหมด เพื่อกันลืม

พอใส่รหัสที่ตั้งไว้แล้วเข้าไม่ได้ ผมก็ลอง password สำรองอีกสองสามชื่อที่คิดเผื่อ ผลปรากฏว่าเข้าไม่ได้

ผ่านไปอีกหลายเดือน บ่ายวันหนึ่ง ขณะผมกำลังนั่งคิดถึงเรื่องทฤษฏีแรงโน้มถ่วงของเซอร์ไอแซค นิวตัน อยู่ที่ใต้ต้นมะม่วง

พลันลูกมะม่วงก็ตกใส่หัว จนผมระลึกชาติได้ว่า password นั้นถูกต้องแล้ว ที่ผิดคือ ผมใช้อีกอีเมล์หนึ่ง

เข้า Facebook ได้แล้ว ผมก็เป็นบ้านนอกเข้ากรุง ไม่รู้ว่าสนามหลวงอยู่ตรงไหน? จะไปอนุสาวรีย์ชัยฯ ต้องขึ้นรถเมล์สายอะไร? ไม่รู้วิธีหาเพื่อนหาพวกหรือเล่นเกมใด ๆ ในนั้นทั้งสิ้น

ระยะแรกจึงต้องพึ่งใบบุญ ขอ add บรรดาคนคุ้นเคยที่เห็นหน้าค่าตากันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

แต่คนมันพบมันเจอกันอยู่จนชินตา จะไปสนทนาวิสาสะอีกใน Facebook ผมก็รู้สึกแปร่ง ๆ แปลก ๆ ไม่รู้ว่าจะคุยอะไร?

ผมจึงเริ่มไล่ลำดับญาติโยมที่รู้จัก แต่ไม่มีโอกาสพบปะกันมานาน แล้วผมก็นึกถึงอี่น้องคนงามนามว่าสาวจูน

ผมก็เลยโทรศัพท์ไปหา ถามซื่อ ๆ ตรง ๆ ว่าเล่น Facebook หรือเปล่า? ถ้าเล่นใช้ชื่ออะไร? แล้วก็จดใส่สมุด

สาวจูนก็มีทีท่าว่างง ๆ อยู่เหมือนกัน ร้อยวันพันปีไม่เคยโทรศัพท์มาหา จู่ ๆ ก็โทรศัพท์มาขอ add เป็นเพื่อนใน Facebook ซะยังงั้น

“ไม่ค่อยน่าไว้ใจเลยเน้อ พี่คิดแผนชั่วอะไรไว้รึเปล่าเน้อ?” สาวจูนเธอมีเอกลักษณ์อย่างหนึ่ง ตรงคำลงท้ายว่า เน้อ อยู่แทบทุกประโยคคำพูด

ผมไม่ได้ตอบคำถามนี้ ทว่าพยักหน้ายอมรับแต่โดยดี

จากนั้นผมก็โทรศัพท์ไปหาญาติโยมอีกสองสามราย ด้วยแผนชั่วแบบเดียวกัน

แล้วก็อาศัยรายชื่อเพื่อนของเพื่อน ค่อย ๆ ค้นหาคนรู้จักไปทีละรายสองราย

สะสมจำนวนญาติมิตรได้พอสมควร ผมก็ยังทำอะไรไม่ถูก ใช้งานไม่เป็นเช่นเดิม

ผมมาติด Facebook ตอนนี้นี่เอง ตอนที่เริ่มเจอพรรคพวกเพื่อนฝูงจำนวนมากในนั้น ระยะเวลาที่ไม่ได้เจอทุกคนรวมกัน สามารถย้อนยุคกลับไปถึงสมัยอยุธยายังไม่เสียกรุงครั้งที่ 2 เลยทีเดียว

ติดต่อขอเป็นเพื่อนกับใครต่อใครเขาไปทั่ว เสร็จสรรพแล้ว ผมก็ปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้น ยังไม่ค่อยได้ข้องแวะแตะต้องติดต่อสื่อสารอะไรทั้งสิ้น

มากและบ่อยสุด คือ ตอบรับคำทักทายสั้น ๆ จากบรรดาคุณโยมทั้งหลาย ซึ่งเข้ามากรี๊ดกระจาย แสดงความแปลกใจที่มนุษย์ไฮถึกดึกดำบรรพ์อย่างผม เล่น Facebook

รู้สึกอยู่เหมือนกันว่า สภาพ สถานะของผมประดุจดัง ปลาหมึกพอลว่ายน้ำอยู่ในตู้หลังจบบอลโลก มีนักท่องเที่ยวแวะเวียนเข้ามาเยี่ยมเยียน ชี้ชวนกันดูอย่างขำ ๆ แล้วก็จากไป

เจอบ่อยเข้า ผมก็ร่ำ ๆ ว่า แทบจะลุกขึ้นมาสาธิตวิธีการทำนายผลบอลโลกครั้งต่อไป ให้เป็นที่ประจักษ์ฮือฮาในความแม่นยำบ้าง

ทันใดนั้นเอง ผมก็คิดแผนชั่วขึ้นมาได้ลาง ๆ

แผนนั้นง่าย ๆ ครับ คือ คิดว่า Facebook น่าจะเป็นตัวเชื่อมต่อสื่อสารระหว่างผมกับผู้อ่าน, เพื่อนฝูง และคนที่เคารพนับถือจำนวนมาก

คล้าย ๆ เป็นที่แถลงข่าว แลกเปลี่ยนสอบถามข้อมูล ทักทายสารทุกข์สุกดิบ

รวมทั้งใช้เป็นที่แจ้งเหตุเกี่ยวกับความคืบหน้าต่าง ๆ ในการอัพเดตบล็อก ประกาศสถานการณ์ทั้งฉุกเฉินและเฉื่อยชา ราชการทั้งหลายประดามีของตัวผมเอง

ประโยชน์การใช้สอยคร่าว ๆ กว้าง ๆ ของ Facebook ตามความเข้าใจผม น่าจะและคงจะอยู่ตรงแถว ๆ นี้

ในข้อมูลส่วนตัวของผม มีช่องให้กรอกว่า เข้ามาเพื่อจุดมุ่งหมายความประสงค์ใด? ระหว่างหาเพื่อน และอีกสองสามอย่าง

ผมระบุไปว่า เครือข่าย

จะเป็นเครือข่ายขึ้นมาได้ จำนวนนั้นต้องเยอะ เพราะเหตุนี้เอง หลายวันที่ผ่านมา ผมจึงก้มหน้าก้มตา ค้นหาเพื่อนใน Facebook อย่างคร่ำเคร่ง

ผมเขียนถึงเรื่องนี้ลงในบล็อก ก็เพื่อจะบอกกล่าวเล่าสู่ให้มิตรรักแฟนเพลงที่ติดตามอ่าน (และรอจนลืมว่า เมื่อไหร่มันจะอัพเดตบล็อก) ได้ทราบโดยทั่วกัน เพื่อให้สามารถติดต่อสื่อสารใน Facebook เพิ่มขึ้นอีกช่องทาง ซึ่งน่าจะสะดวกคล่องตัวยิ่งกว่า

ขณะเดียวกัน ผมก็พยายามจะป่าวประกาศใน Facebook เพื่อเชื้อเชิญให้ญาติโยมทางนั้น ได้รับทราบเกี่ยวกับความคืบหน้าของบล็อก

พูดตามตรงก็เหมือน ผมกำลังโฆษณาขายของนะครับ และผมก็เชื่อว่าผมทำอย่างนั้นจริง ๆ แบบไม่มีอะไรต้องแก้ตัว

ชื่อที่ผมใช้ใน Facebook คือ จ้อย นรา

ผมรับ add ด้วยความเต็มใจนะครับ และขอถือโอกาสขอบคุณทุกท่านที่นับผมเป็นเพื่อน (ทั้งในตอนนี้และอนาคตข้างหน้า)

มีเรื่องจะชี้แจงอย่างเดียวคือ ระหว่างนี้ผมยังเงอะงะมะงุมมะงาหรา (เชื่อหรือยังครับว่าผม in trend มาก ขนาดศัพท์ที่ใช้ยังอยู่แถว ๆ วรรณคดีเรื่อง ‘อิเหนา’เลย คำนี้แปลเป็นสำนวนไอทีได้ว่า random) และกำลังอยู่ในขั้นตอนเรียนรู้การใช้งาน จึงเป็นไปได้มากเหลือเกินว่า เมื่อเป็นเพื่อนกันแล้ว ผมอาจจะวางตัวนิ่งเฉย ไม่ได้ทักทายพูดคุยสุงสิงกับใคร

ไม่ได้หยิ่งหรอกนะครับ เป็นเรื่องของมือใหม่ อ่อนหัด ขาดประสบการณ์ ซื่อใส ไร้เดียงสา ล้วน ๆ เลย

1 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

อยากติดตามผลงานคุณนรานะคะ
แต่ยังเล่นเฟซบุคไม่เป็นเลยอ่ะค่ะ
ไม่รู้เป็นไง มีชื่ออยู่ในนั้นเป็นปีๆ แล้ว แต่ไม่คิดจะหัดใช้สักที)

xiongmaoer (the technophobe)