วันศุกร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2551

บ้าน ความรัก ที่พักใจ และการเวนคืน โดย "นรา"


ผมนั้นเป็นพวก "ใหญ่ ๆ ไม่มีปัญญาทำ จำใจต้องเล็ก ๆ" มาแต่ไหนแต่ไร จึงมีใจโอนเอียงไปทางหนังเล็ก ๆ แม้กระทั่งเวลาเชียร์ฟุตบอลก็ยังเป็นแฟนทีมวิมเบิลดัน ซึ่งจัดว่าอยู่ในระดับต่ำต้อยด้อยทุนทรัพย์และอัตคัดความสำเร็จอย่างยิ่ง


ก่อนลงมือเขียนต้นฉบับชิ้นนี้ ผมมีหนังให้เลือกอยู่ 2 เรื่อง คือ งาน "ฟอร์มอภิมหาพญายักษ์" อย่าง The Perfect Strom กับงาน "ฟอร์มลูกมดตัวสุดท้อง" เป็นหนังเล็ก ๆ ไม่โด่งดัง จากประเทศออสเตรเลีย เรื่อง The Castle


ไม่ต้องทาย ไม่ต้องเดา ก็คงจะทราบชัดว่า ผมต้องเลือก The Castle แน่นอน


ผมเจอะเจอ The Castle (ชื่อไทยตั้งได้ดีมากว่า "วิมานนี้…ไม่มีวันลอย) โดยบังเอิญในร้านเช่าวิดีโอเจ้าประจำ เกือบ ๆ จะมองข้ามไม่สนใจอยู่แล้วเชียว ทั้งชื่อชั้นผู้กำกับ ทีมงาน และนักแสดงไม่เป็นที่รู้จักเลย แต่ก็มาสะดุดตรงประโยคที่ว่าหนังเรื่องนี้ "เปรียบได้กับ The Full Monty"


คนที่พูดก็ไม่ใช่ใครที่ไหนอื่นไกล นายโรเจอร์ อีเบิร์ท นักวิจารณ์ชื่อดังที่ผมติดตามเป็นแฟนห่าง ๆ ในระยะทางประมาณกรุงเทพฯ-ชิคาโก้ ผมก็เลยลองเช่าวิดีโอมาดูเป็นการพิสูจน์


ดูจบแล้วก็พบว่าสมราคาคำเอ่ยอ้างทุกประการ ท้ายสุดก็เบียดหนังประเภททุ่มทุนสร้างขว้างทุนเสี่ยงเหวี่ยงทุนเสนออย่าง The Perfect Strom หลุดวงโคจรไปจากคอลัมน์ของผมทันที


The Castle เล่าเรื่องของครอบครัวอารมณ์ดีตระกูลเคอริแกน พวกเขาปลูกบ้านใกล้สนามบินชนิดเวลาเครื่องขึ้นลงเฉียดเฉี่ยวหลังคาบ้านไปอย่างหวุดหวิด ค่อย ๆ แต่งเติมเสริมต่อทีละส่วน มีทั้งบ้านสำหรับหมาเกรย์ฮาวน์ด สวนหย่อม จนกระทั่งรูปร่างหน้าตาของบ้านจวนเจียนจะเข้าข่ายพิลึกพิลั่น แต่ความเป็นอยู่กลับอบอุ่นเป็นสุข พ่อชอบแสดงความชื่นชมและสร้างความภาคภูมิใจให้แก่ฝีมือทำอาหารของแม่ พี่ชายคนรองเป็นนักประดิษฐ์ที่เก่งกาจในการคิดค้นเครื่องมือซึ่งทำหน้าที่ได้ 2 อย่างพร้อม ๆ กัน (และทำหน้าที่ได้แย่โดยเท่าเทียม) น้องสาวคนถัดมาเป็นคนเดียวในครอบครัวที่เรียนจบวิทยาลัย ลูกชายคนสุดท้องเป็นผู้บอกเล่าเรื่องราวทั้งหมด


มีเพียงเวย์นพี่ชายคนโตเท่านั้นที่ไม่ได้อาศัยอยู่ในบ้าน เขาติดคุกข้อหาปล้นปั๊มน้ำมัน เพราะหลงเชื่อคำชักจูงของเพื่อนนิสัยแย่ ๆ กระนั้นความสัมพันธ์ระหว่างเขากับครอบครัวก็ยังผูกพันแน่นแฟ้นไม่เสื่อมคลาย


ครอบครัวเคอริแกนพำนักอยู่ที่บ้านหลังนั้นมาเป็นเวลานาน 15 ปี และขนานนามบ้านรูปทรงพิลึก ๆ ว่า "ปราสาท" แต่แล้ววันหนึ่งเหตุการณ์ก็พลิกผันตรงข้าม


รัฐบาลมีคำสั่งเวนคืนที่ดิน เพื่อทำการขยายสนามบิน เพื่อนบ้านรายรอบมีทีท่ายอมรับเงินชดเชยและตระเตรียมอพยพโยกย้าย แต่พ่อเป็นคนเดียวที่ปักหลักยืนกรานไม่ยอมไปไหน ทั้งต่อรองโต้แย้งทุกวิถีทาง จนเรื่องบานปลายถึงขั้นต่อสู้ในชั้นศาล โดยที่พ่อไม่รู้แง่มุมใด ๆ เกี่ยวกับกฎหมายเลยแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำทนายความที่เลือกมาก็อ่อนหัด จนยากจะจำแนกว่าใคร "โหลยโท่ย" กว่ากัน ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามเพียบพร้อมด้วยมือดีและเงินทุน รวมทั้งแต้มต่อตามบทบัญญัติทางตัวกฎหมาย


ผลก็คือ ครอบครัวเคอริแกนและเพื่อนบ้าน (ซึ่งไม่รู้อิโหน่อิเหน่หนักข้อยิ่งกว่า) ตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อย่างหมดรูป พวกเขาเก็บข้าวของเตรียมย้ายบ้านด้วยความปวดร้าว ไปสู่อพาร์ทเมนท์คับแคบซึ่งมีราคาพอซื้อหาได้จากจำนวนเงินชดเชยที่รัฐจ่ายให้ (พ่อถึงกับคร่ำครวญว่า รัฐยึดบ้านเพื่อเสือกไสไล่ส่งพวกเราไปอยู่รังหนู เมื่อแม่พยายามชี้แนะทางออกว่า ถ้าไม่ชอบที่คับแคบก็อาจไปเช่าบ้านที่คล้ายคลึงกับหลังเดิม พ่อถึงกับร้องลั่นว่า ยึดบ้านเรา เพื่อให้เราไปจ่ายเงินหาบ้านอยู่อีกยังงั้นหรือ?)


ร่ำ ๆ ว่าจะไร้ทางออก ครอบครัวเคอริแกนก็ได้พบกับอัศวินชราขี่ม้าขาวมาช่วย อดีตยอดทนายความที่ปลดเกษียณไปแล้ว รู้สึกถูกชะตากับอัธยาศัยของพ่อ และรับรู้เรื่องราวในคดีความที่เกิดขึ้น จึงขันอาสามารื้อฟื้นคดีอีกครั้ง


ไคลแม็กซ์ท้ายสุดของหนังคือ ฉากสู้คดีครั้งยิ่งใหญ่ (แต่ก็ดูเล็กกระทัดรัดน่าเอ็นดูมากเมื่อเทียบกับหนังประเภทขึ้นโรงขึ้นศาลของฮอลลีวู้ด) สถานการณ์ขับเคี่ยวเป็นไปอย่างสูสีคู่คี่โดยที่ครอบครัวเคอริแกนตกเป็นรองอยู่หลายช่วงตัว


ไม่ต้องกดหนึ่งเพื่อทายว่าครอบครัวเคอริแกนชนะ ไม่ต้องกดสองเพื่อทายว่ารัฐเป็นฝ่ายชนะ และไม่ต้องกดสามเพื่อทายว่าเสมอกัน ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น เพราะผมกำลังจะเล่าบทสรุปที่เหลือ


ในระหว่างพักการพิจารณาคดี พ่อตกอยู่ในสภาพจิตใจย่ำแย่ จากสถานการณ์ที่กำลังเพลี่ยงพล้ำ และเจ็บร้าวปวดลึกกับถ้อยคำของทนายฝ่ายตรงข้าม ซึ่งพูดจาดูแคลนว่าบ้านของครอบครัวเคอริแกนมีสภาพ "น่าทุเรศ" จนต้องตัดพ้อระบายความในใจกับเพื่อนทนายวัยชรา


"ผมอยากพูดจาได้สละสลวยเหมือนคุณจังเลย พวกมันกล้าดียังไงนะ ถึงบังอาจมาด่าว่าบ้านเราทุเรศ มันแสดงให้เห็นเลยว่าพวกนั้นไม่เข้าใจ พวกเขาตัดสินบ้านจากรูปร่างภายหน้า ถ้ามันไม่มีสระว่ายน้ำ หน้าบ้านหรูหรา สวนใหญ่ ๆ และประตูดี ๆ ถ้าไม่มีของพวกนั้น บ้านก็ไม่มีค่าหรือไง? มันไม่ใช่แค่ที่พักกาย แต่มันเป็นที่พักใจ มันมีทุกสิ่งทุกอย่าง มีคนที่รักกันและกัน ห่วงใยกันและกัน มีความทรงจำ ความทรงจำที่ดีเยี่ยม มันเป็นที่ ๆ คนในครอบครัวจะหันหน้าไปหา กลับไปหา แต่ในสายตาของพวกคุณ ทั้งหมดนี้มันไม่มีค่าเท่าหน้าบ้านที่หรูหราใหญ่โต"


เมื่อถึงเวลาสรุปปิดคดี ถ้อยคำทั้งหมดของพ่อก็ถูกนำมาถ่ายทอดอีกครั้งโดยฝีมือของยอดทนายความ (ซึ่งแน่นอนว่าพูดข้อความเดียวกันได้ดีกว่าต้นตำรับมากมายหลายเท่า) และดึงแง่มุมเหล่านี้เข้าเชื่อมโยงกับตัวบทกฎหมายได้อย่างเฉียบคม ซาบซึ้งน่าประทับใจ และโน้มน้าวศาลให้เห็นพ้องคล้อยตาม (รวมทั้งผู้ชมที่รู้สึกเหมือนโดนของแข็งกระแทกใจจนปลื้มปิติ)


ครอบครัวเคอริแกนเป็นฝ่ายชนะในท้ายที่สุด

เนื้อเรื่องและสาระสำคัญของ The Castle นั้นเรียบง่ายตรงไปตรงมามาก แต่ฝีมือการเขียนบทก็ทำให้ดูสนุก ลึกซึ้ง และคมคายตลอดเวลา

จุดเด่นของหนังอยู่ที่การใช้เสียงบรรยายของลูกชายคนสุดท้อง ทำหน้าที่เล่าเรื่อง เป็นคำบรรยายบอกเล่าซื่อ ๆ แต่มีการรับ-ส่งกันอย่างเหมาะเจาะ ระหว่างถ้อยคำที่คนดูได้ยิน กับภาพในหนังที่เราได้เห็น ซึ่งสอดคล้องตรงกันเท่า ๆ กับที่ขัดแย้งตรงข้าม และกลายเป็นมุขตลกหน้าตาย ซึ่งอาจไม่ถึงขั้น "ขำกลิ้ง" แต่เรียกรอยยิ้มที่มุมปากได้เด็ดขาดนัก (ตรงนี้อธิบายยังไงก็นึกตามไปด้วยยาก นอกจากจะหาวิดีโอมาดูกันเอาเอง)

จุดเด่นถัดมาคือ การสร้างบุคลิกของตัวละครได้อย่างมีชีวิตชีวา แค่ไม่กี่นาทีของหนัง คนดูก็โดนโน้มน้าวให้หลงรักครอบครัวเคอริแกนจนหมดใจ พวกเขามีเสน่ห์ล้นเหลือบนพื้นฐานของความเรียบง่าย ซื่อ ใส จริงใจ และมองโลกในแง่ดี

พูดตามตรง The Castle เป็นแค่หนังในระดับดี ไม่ได้เลอเลิศสุดยอด แต่ในแง่ของการให้ความรู้สึกที่ดีแก่ผู้ชม นี่คืองานที่กล่าวได้ว่า ไม่เป็นรอง "หนังในดวงใจ" ของใครหลาย ๆ คนอย่าง Local Hero, The Englighmen Who Went Up a Hill but Came Down a Mountain

ผมรักหนังเล็ก ๆ ไร้อันดับเรื่องนี้เหลือเกิน ขอแนะนำให้รีบหามาดูเลยครับ รับประกันความพึงพอใจ (อันนี้ติดมาจากโฆษณาขายของทางโทรทัศน์) ถ้าไม่ดีจริง ยินดีให้ตัดพ้อต่อว่านายโรเจอร์ อีเบิร์ท ได้ตามใจชอบ

ถ้าดูแล้วถูกอกถูกใจ ผมยินดีรับความดีความชอบแต่เพียงผู้เดียว





(บทความชิ้นนี้ เป็นงานเก่าที่เขียนลงคอลัมน์ภาพยนตร์ ในผู้จัดการรายวัน เมื่อประมาณ 7-8 ปีที่แล้ว และเป็นหนึ่งในต้นฉบับจำนวนไม่มากนัก ที่กู้ไฟล์กลับมาได้ เมื่อครั้งคอมพิวเตอร์เครื่องเก่าของผมเจ๊ง)

2 ความคิดเห็น:

'Sayhello Saygoodbye' กล่าวว่า...

เกิดอะไีรขึ้นกันเนี่ย พักนี้ขยันเขียนบล็อกเหลือเกิน

narabondzai กล่าวว่า...

ผมโดนผีบล็อกเกอร์เข้าสิงนะครับ แต่จริง ๆ แล้วยังคงขี้เกียจเหมือนเดิม (ที่เห็น ๆ อยู่นั้น ส่วนใหญ่เป็นงานเก่าที่เคยเขียนไว้นานแล้ว)
ตอนนี้กำลังรอให้ผีขยันเข้าสิง จะได้เขียนอะไรใหม่ ๆ ให้เป็นกิจลักษณะเสียที