วันอังคารที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2551

สายตาสั้น สายตายาว โดย "นรา"


แม้จะได้ชื่อว่าเป็น “เด็กหน้าแก่” มาตั้งแต่อายุหกขวบ ทว่าก็เพิ่งจะสองสามปีที่ผ่านนี้เอง ที่ผมพบว่าได้ ล่วงผ่านเข้าสู่ “วัยชราภาพ” จริง ๆ

เรื่องสังขารนั้นร่วงและโรยไปจนน่าใจหาย อะไรหลายหลากที่ผมเคยรู้สึกว่า เคยเป็นสิ่ง “ไกลตัว” เมื่อครั้งยังหนุ่ม และนึกไม่ออกเลยว่าจะเกิดขึ้นกับผมได้อย่างไร?
บัดนี้ได้สัมผัสครบถ้วน รู้ซึ้งในรสพระธรรมจนหมดสิ้น

จากคนเคยผอมแห้งแรงน้อย น้ำหนักตัวชั่งเมื่อวานนี้ของหลายปีก่อนได้ 48 กิโลกรัม และพยายามกินในแบบที่ควรจะเรียกว่า “ยัด” มากกว่า เพื่อเพิ่มสมทบเนื้อหนังมังสาให้แก่เรือนร่างสะโอดสะอง ชนิดลมพัดเบา ๆ ก็ปลิวได้

ตลอดวัยเด็กและวัยหนุ่ม แม้ผมจะสวาปามเยอะเพียงไร ก็ปราศจากวี่แววบึกบึก แต่แล้วจู่ ๆ วันหนึ่ง มนุษย์ประเภท “อ้วนยาก ผอมง่าย” อย่างผมก็เริ่มเข้าสู่วงการ “นักลงพุง” เมื่อไขมันน้อยกลอยใจมาชุมนุมรวมตัวกันบริเวณหน้าท้อง

ตอนนั้นผมดีใจสุดขีด ร้องตะโกนไชโยโห่ฮิ้ว รู้สึกเสมือนดังประสบความสำเร็จอันใหญ่หลวงราวกับถูกหวยรางวัลที่ 1 ติดต่อกันสามสิบหกงวดซ้อน

ในที่สุดค่าข้าวค่าก๋วยเตี๋ยวที่ทุ่มทุนสร้างไปเยอะ ก็บังเกิดดอกผลตอบสนองเสียที สมดังภาษิตที่ว่า If you build it, he will come.

ทว่าพ้นจากนั้นแล้ว ผมก็ย้ายสโมสรมาสังกัดฝ่ายตรงข้าม คือ “อ้วนง่าย ผอมยาก” และตกอยู่ในสภาพ “รั้งไม่หยุด ฉุดไม่อยู่ กู่ไม่กลับ” กลายเป็นคนจนหุ่นอาเสี่ยแบบถาวร

ผู้เชี่ยวชาญทางด้านโภชนาการ ผู้สันทัดกรณีทางด้านสุขภาพ และผู้รู้เกี่ยวกับสัตว์บกสัตว์น้ำ (ซึ่งเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “รู้งู ๆ ปลา ๆ”) ต่างลงความเห็นพ้องต้องตรงกันหมดว่า เป็นไปตามวัย ร่างกายมีอายุมากขึ้น ระบบเผาผลาญอาหารในร่างกาย ก็เริ่มย่อหย่อนประสิทธิภาพ สวนทางกลับการใช้แรงงานออกกำลังกายที่น้อยลง

อาการถัดมาคือ “สายตายาว”

ผมนั้นได้ชื่อว่า “เป็นเด็กหน้าแก่ สายตาดี” มาตั้งแต่อายุหกขวบ (เมื่อมานึกทบทวนย้อนหลัง ตอนเด็ก ใคร ๆ น่าจะเรียกผมว่า “น้องโฟกัส” มากกว่าไอ้ตี๋นะครับ) ไม่เคยประสบปัญหาต้องสวมแว่น ใส่คอนแท็กเลนส์ หรือพึ่งพาบริการความช่วยเหลือจากจักษุแพทย์เลยสักนิด

เข้าใจว่าชาติที่แล้ว ผมคงทำตักบาตรถวายวิตามินเอให้พระค่อนข้างเยอะ บุญกุศลจึงปรากฎเห็น ๆ (ชัดกระจ่าง) ในชาตินี้

เรื่องสายตาหรือสมรรถภาพทางด้านการมองเห็นของผมนั้น นับเป็นหนึ่งในความภาคภูมิใจเล็กน้อยที่สามารถโอ้อวดใคร ๆ ได้เต็มปาก

อย่างไรก็ตาม ตอนเด็ก ๆ ผมนึกอิจฉาเพื่อนตระกูลแว่นทุกคน ถึงขั้นน้อยใจในโชคชะตา และแอบตัดพ้ออยู่เสมอ ๆ ว่า “ไอ้เรามันเด็กอาภัพ ไร้วาสนา ชาตินี้มีกรรม เกิดมาสายตาดี ไม่มีแว่นใส่”

ผมไม่รู้หรอกว่า เพื่อนที่มีปัญหาทางด้านสายตา ต้องประสบความขลุกขลักทุกข์ร้อนอย่างไรบ้าง จึงคิดและเข้าใจแบบไร้เดียงสาว่า แว่นตาเป็นเฟอร์นิเจอร์เครื่องประดับชิ้นหนึ่งบนใบหน้า เพื่อความโก้เก๋

จนกระทั่งโตพอรู้ความนั่นแหละ ผมถึงได้เข้าใจ เกิดความรู้สึกผิด ต้องรีบขออโหสิต่อเพื่อน ๆ ทุกคนย้อนหลัง ทั้ง ๆ ที่ปราศจากกิจลาบวช

เวรกรรมมีจริงนะครับ จู่ ๆ วันหนึ่ง ผมก็เริ่มมีปัญหาสายตาสั้น แต่ก็เป็นเรื่องพอที่จะเข้าใจได้ เพราะผมชอบอ่านหนังสือบนรถเมล์ และกระทำต่อเนื่องยาวนานมาหลายปี การใช้งานหักโหมเช่นนี้ ย่อมส่งผลกระทบเป็นธรรมดา

ด้วยตนทุนดั้งเดิมอันดีท่วมท้น ปัญหาสายตาสั้นของผมจึงมีอาการหยุมหยิมจุ๋มจิ๋มเล็กน้อยมาก จนสามารถปล่อยไปตามธรรมชาติ ไม่ต้องพึ่งพาอาศัยความช่วยเหลือจากคุณท็อปเจริญหรือมิสเตอร์เรย์แบนด์

ชีวิตการทำงานของผมนั้น แวดล้อมไปด้วยนักเขียนรุ่นพี่ที่เคารพนับถือหลายท่าน ซึ่งมักจะมาแนว ๆ เดียวกันหมด คือ เวลาอ่านหนังสือต้องสวมแว่นสายตายาว หรือไม่ก็ถือหนังสือเหยียดแขนออกไปจนไกลสุด เพื่อจะอ่านได้เห็นชัดถนัดถนี่

ต่อมความเป็นเด็กเปรต (อ้วน ๆ) ของผมทำงานอีกครั้ง เมื่อเห็นกิริยาท่าทีของบรรดารุ่นพี่ที่เคารพ ประสบปัญหาสายตายาวทีไร ผมมักจะแอบนินทาอยู่ในใจว่า “พี่เค้าแอคท์ติ้งรึเปล่าว่ะ ประมาณว่า ใส่แว่นหรือถือหนังสือในระยะลองช็อตแล้ว ช่วยให้ทรงภูมิดูดีขึ้น”

เวรกรรมมีจริงอีกแล้วครับท่าน จู่ ๆ วันหนึ่ง ผมก็เริ่มมีปัญหาสายตายาว เมื่ออ่านตัวหนังสือขนาดเล็ก ๆ ไม่ค่อยออก เริ่มแรกผมต้องหยิบจับหนังสือในระยะห่างออกไปนิด ๆ จึงจะพอมองเห็นเป็นปกติ

จากนิด ๆ ก็ค่อย ๆ กลายเป็นอีกหน่อย ๆ แล้วก็ค่อย ๆ ขยาย ยืดระยะไปเรื่อย ๆ รู้ตัวอีกทีก็โน่นแหละครับ สุดมือเอื้อมเทียบเท่าหนึ่งการเดินทางไกลข้ามตำบลของมดเลยเชียว

ผมก็อ่านหนังสือแบบรักษาระยะ (โดยมีข้ออ้างว่า เป็นลีลาการอ่านเพื่อศึกษาภาพรวม) มาเนิ่นนาน กระทั่งวันหนึ่งซึ่งเพิ่งเกิดขึ้นสด ๆ ร้อน ๆ เมื่อไม่นานนี้เอง การอ่านแบบ “ยิงไกลนอกกรอบเขตโทษ” ของผมก็เอาไม่อยู่

เป็นครั้งแรกในชีวิตนะครับ ที่ผมต้องสวมแว่นสายตายาวอ่านหนังสือ

เรื่องนี้เล่าสู่กันฟังเล่นเพลิน ๆ ไม่มีคติธรรมอะไรแทรกแฝงเจือปน นอกจากความหวั่นใจอยู่ลึก ๆ ว่า เหลือเพียงหัวล้านอีกอย่างเดียวเท่านั้น ที่เด็กเปรต (อ้วน ๆ) อย่างผมยังไม่บรรลุ

หมายเหตุเพิ่มเติม: เมื่อเช้าผมลองแอบ ๆ ส่องกระจกเงาดู ผลการสำรวจครั้งล่าสุดมีรายงานว่า ตอนนี้พื้นที่ทับซ้อนบริเวณหน้าผากของผม น่าจะมีจำนวนความกว้างคูณยาวคูณสูงรวมนับได้หลายแสนแล้ว ระทึกทรวงเร้าใจเหลือเกินครับ
(เขียนและเผยแพร่ครั้งแรกที่นี่)

ไม่มีความคิดเห็น: