วันอาทิตย์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ผมเลวกว่าหมา และไม่ได้มาจากดาวคะนอง โดย "นรา"


เมื่อคืนผมฝันร้าย โม้สะบั้นหั่นแหลกฝอยกระจายโอเวอร์แหลกลาญ ขนาดเอาสองมาหารสักสามสี่ครั้งก็ยังเชื่อไม่ลง

ผมฝันว่า จู่ ๆ ก็กลับกลายเป็นคนดีไปได้เฉยเลย (เชื่อหรือยังครับว่าเป็นความฝันที่โม้และโกหกเหลือเกิน) พอตกใจตื่นขึ้นมาด้วยสภาพเหงื่อท่วมตัว ใจเต้นแรง หน้าซีด ปากคอสั่น ผมก็เกิดอาการสูญเสีย “ความชั่วมั่น” ในตนเอง

พร้อมทั้งมีคำถามข้อสงสัยว่า จริง ๆ แล้วผมเป็นคนดีหรือเปล่า?

ตามปกติการเป็นคนดีควรนำมาซึ่งความสุขสบายใจ เผอิญผมเป็นมนุษย์ไร้สาระวีหนึ่ง ซึ่งไม่ค่อยปกตินัก (ยกเว้นความประพฤติและนิสัยที่ “สกปรกติ”)ได้ตระเตรียมตั้งใจลงมือหย่อนเท้าขยับแขนเหยียดขาวางแผนเอาไว้กับพื้น เพื่อเขียนเรื่อง “ผมเลวกว่าหมา และไม่ได้มาจากดาวคะนอง”

เป็นการตั้งชื่อล่วงหน้าขึ้นมาก่อน แล้วค่อย “หาเรื่อง” (โดยปราศจากการทะเลาะวิวาทต่อยตีกับใคร) ไปสู่รายละเอียดต่าง ๆ ทีหลัง พอฝันว่ากลายเป็นคนดี ผมจึงเกิดความเดือดเนื้อร้อนใจราวกับรัฐบาลเวลาเผชิญม็อบต่อต้านขับไล่ยังไงยังงั้น

เดือดร้อนเพราะถ้าเป็นคนดีจริง ๆ ชื่อเรื่องที่ตั้งเอาไว้ก็จะไม่ตรงกับความจริงนะครับ ข้อเขียนของผมถัดจากนี้ไปจะกลายเป็นเรื่องโกหกตอแหล หลอกลวงตนเองและผู้อ่านทันที อันเป็นสิ่งที่ผมผู้ยึดมั่นเคารพในกติกา (มวยปล้ำ-โดยเฉพาะเมื่อผ่านการพากย์ไทยได้อย่างโหด มัน ฮา ของน้าติง) ยินยอมอ่อนข้อปล่อยให้เกิดขึ้นไม่ได้อย่างเด็ดขาด

ผมจึงต้องลงทุนขุดคุ้ยข้อเสียความเลวต่าง ๆ ของผมออกมาตีแผ่ เพื่อคงดำรงรักษาไว้ซึ่งชื่อเรื่องที่พึงหวงแหนถึงขนาดเอาสเต็คและสะเต๊ะมาแลกก็ไม่ยอม

ยืนยันนะครับว่า “ผมเลวกว่าหมา และไม่ได้มาจากดาวคะนอง” เรื่องเลวนี่ยังคงต้องพิสูจน์กันอีกยืดยาว ทว่าประเด็นไม่ได้มาจาก “ดาวคะนอง” ถือได้ว่าเด่นชัดแหงแก๋ชัวร์แน่ มีหลักฐานปรากฏชัดตั้งแต่ใบเกิด ทะเบียนบ้าน บัตรประชาชน

ทั้งหมดนี้ระบุเอาไว้แน่นหนาว่า ผมมาจากซอย “สาหร่ายทองคำ” (เป็นธรรมดาของไฮโซอย่างผมนะครับ ไหน ๆ จะหรูหราทั้งทีก็ต้องเริ่มกันที่ชื่อซอยเลยเชียว)

เรื่องความเลวชั่วร้ายของผมนั้นไม่ต้องนึกไปไกล ระดับเบสิคเบื้องต้น อย่างเช่น เตะหมา ด่าแมว (ด่าแมวนะครับ ไม่ใช่ด่าแม้ว) พูดพล่อย ๆ (พูดพล่อย ๆ นะครับ ไม่ใช่ปากห้อย ๆ) ทำหน้าเหี้ยม (หน้าเหี้ยมนะครับไม่ใช่หน้าเหลี่ยม) ท้าเด็กอายุหกขวบชก เพราะมั่นใจว่าสู้ไหว ฯลฯ คุณสมบัติอันเป็นโทษ ปราศจากประโยชน์ต่อร่างกายเหล่านี้ ผมมีอยู่ครบถ้วนเพียบพร้อม

อย่างไรก็ตาม ในวงการเด็กเลว (ท่านผู้อ่านจำนวนมากอาจไม่รู้จักและไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อน ไม่ต้องแปลกใจหรืองุนงงนะครับ แปลได้ง่าย ๆ ว่า ท่านเป็นคนดี) ความประพฤติข้างต้น ถือเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อย ยังไม่อาจนับได้ว่า “เลวจริง”

ความชั่วร้ายของผม สามารถสาธยายได้จากรายละเอียดต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่ตื่นนอนยันตื่นนอนอีกที

แรกสุดคือ ผมตื่นสาย...เอ้อ...ถ้าจะให้ถูกต้องถ่องแท้ก็ไม่ควรจะใช้คำว่าสายหรอกนะครับ เพราะถ้า “ตื่นสาย” จริง ๆ ผมควรจะต้องตื่นเช้ากว่านี้อีกหลายชั่วโมง

มีสำนวนภาษิตกล่าวไว้ว่า “นกที่ตื่นเช้าย่อมได้หนอนเป็นอาหาร” แต่สำหรับผมแล้ว ยึดถือภาษิตที่ว่า “หนอนที่ตื่นเช้าย่อมกลายเป็นอาหารของนก” เพราะเหตุนี้ผมก็เลยไม่ยอมตื่นเช้า

เรามักจะได้ยินผู้ใหญ่เปรยและปรามเด็ก ๆ ที่ชอบนอนเยอะ ๆ ว่า “นอนกินบ้านกินเมือง” ถ้ามาเจอการหลับระดับ “กลมอุตุ” ของผมเข้าแล้ว อาจจะต้องเปลี่ยนมาใช้คำแรง ๆ อย่างเช่น “โกง”, “สวาปาม” หรือ “แดก” ได้อย่างสบาย ๆ

เท่านั้นยังไม่พอ นอกจากจะนอนแหลกลาญล้างผลาญเวลาแล้ว ผมยังนอนเปิดไฟทิ้งไว้ตลอดทั้งคืน (โปรดอย่าลืมว่าผมตื่นสายมาก) สิ้นเปลืองพลังงานของชาติอีกต่างหาก

ถ้าเวรกรรมมีจริง ชาติหน้าผมคงมีชีวิตจมปลักอยู่ในด้านมืด ด้วยการเกิดเป็นนกฮูกแน่ ๆ เลยครับ

แต่ละวัน พอตื่นนอนแล้ว ผมก็ต้องดูหนังสักเรื่อง จากนั้นก็นำมาเขียนถึงเพื่อหารายได้ คงพอจะเดากันออกนะครับว่า หนังเกือบทุกเรื่องที่ผมดู พึ่งพาอาศัยแผ่นดีวีดีละเมิดลิขสิทธิ์

คำเตือนในโรงหนังที่ผมเคยผ่านตา ระบุเอาไว้ว่า การสนับสนุนสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์เป็นอาชญากรรมอย่างหนึ่ง ดังนั้นผมจึงสรุปได้ว่า ไม่เพียงแค่เบื้องหลังความสำเร็จเกิดจากอาชญากรรมเท่านั้น เบื้องหลังความล้มเหลวของนักวิจารณ์หนังเฮงซวยอีกคนหนึ่ง ก็เกิดจากอาชญากรรมด้วยเช่นกัน

ตอนลงมือเขียนต้นฉบับ (รวมทั้งเรื่องที่ท่านกำลังอ่านอยู่นี้ด้วย) ผมใช้วิธีเขียนด้วยปากกาลงบนแผ่นกระดาษ ผมเป็นพวกใช้กระดาษเปลืองอย่างยิ่ง เขียนไปได้ไม่กี่บรรทัด ก็แกล้ง ๆ ขยำ ๆ ฉีกทิ้ง แล้วก็เขียนลงกระดาษแผ่นใหม่ด้วยข้อความเดียวกันกับแผ่นที่ฉีกทิ้งเป๊ะ ๆ จากนั้นก็เขียนไปอีกสองสามบรรทัดแล้วก็ฉีกทิ้งอีก
กว่าจะได้ข้อเขียนหนึ่งชิ้น ก็สิ้นเปลืองกระดาษไปหนึ่งปึก

ว่ากันว่า “ตระกร้านั้นสร้างนักเขียน” ส่วนผมใช้วิธีฉีกกระดาษทิ้ง เพื่อสร้างตะกร้าให้มีหน้าที่บทบาทในการบรรจุเศษกระดาษอีกที (ประมาณว่า อยากให้เบสิคแน่นพื้นฐานดีนะครับ) จนกลายเป็นทฤษฎีใหม่ที่ว่า “นักเขียนสร้างตะกร้า” โดยไม่เคยลงมือสานตะกร้า แต่เคยเตะตะกร้อและชอบกินตะโก้ (ส่วนไวอะกร้ายังไม่เคยใช้และไม่มีความจำเป็นต้องใช้)

ผมเขียนหนังสือหากินเลี้ยงชีพมา 16 ปี มีข้อเขียนเฉลี่ยปีละ 150 ชิ้น บวกลบคูณหารแล้วตกประมาณ 2,400 ชิ้น แต่ละชิ้นใช้กระดาษประมาณ 20 แผ่น นั่นแปลได้ว่าผมเผาผลาญเศษกระดาษอย่างฟุ่มเฟือยไปถึง 48,000,000,000 แผ่นเป็นอย่างต่ำ (นอกจากใช้กระดาษฟุ่มเฟือยแล้ว ผมยังสอบตกเรียนห่วยวิชาคณิตศาสตร์ด้วยครับ)

ทั้งหมดนี้ต้องใช้ต้นไม้กี่ต้น ผมเองก็ไม่กล้าคิด รู้แต่ว่าปัญหาป่าไม้ร่อยหรอลดลง ปัญหาอุทกภัยน้ำท่วม ปัญหาภัยแล้ง ปัญหาโลกร้อน ปัญหาสิ่งแวดล้อม และปัญหาหัวใจปัญหาชีวิตรักของใครหลายคน (ซึ่งขาดแคลนกระดาษสำหรับใช้เขียนจดหมายจีบหญิง) ผมมีส่วนเกี่ยวข้องต้องรับผิดชอบและเป็นต้นตอสาเหตุเต็ม ๆ แต่เพียงผู้เดียว

ที่ย่ำแย่ยิ่งกว่านั้นก็คือ ระหว่างลงมือเขียนต้นฉบับ ผมยังติดบุหรี่งอมแงม และสิ้นเปลืองพอ ๆ กับการใช้กระดาษ ตลอดเวลา 16 ปีแห่งความหลัง ผมทำลายสุขภาพของตนเองและคนรอบข้างไปเยอะ เป็นแบบอย่างที่ไม่ดีให้แก่เยาวชนของชาติ

เดาเอาว่า น่าจะมีวัยรุ่นจำนวนไม่น้อย รับค่านิยมผิด ๆ จากผม คือมาเจอะเจอพบเห็นผมสูบบุหรี่ตอนเขียนต้นฉบับเข้าแล้วก็รู้สึกว่าทุเรศมาก จึงตัดสินใจไปสูบบุหรี่ยี่ห้ออื่นแทน จากนั้นก็เลยเถิดถลำลึกไปสู่การติดยาบ้า ยาอี ยาไอ้ ยาไอ ยายู ยาฮู้ดอทคอม ทั้งหลายแหล่ กลายเป็นปัญหาระดับชาติที่น่าวิตกห่วงใย

ผมนี่แหละครับที่เป็นตัวการใหญ่ในการก่อให้เกิดปัญหาทางด้านสังคมทั้งหมด (เขียนถึงตรงนี้ ผมก็อดไม่ได้ที่จะต้องรำพึงรำพันขึ้นมาเบา ๆ กับตัวเองสามครั้งซ้อนว่า “มึงซึ่งหมายถึงกูนี่โคตรเลวเลย” เพื่อสนับสนุนชื่อเรื่องให้มีน้ำหนักเพิ่มยิ่งขึ้น)

ทำตัวให้มีสุขภาพเลวเสร็จสรรพแล้ว ผมยังต่อต้านการมีสุขภาพที่ดี โดยไม่ยอมออกกำลังกาย (กีฬาที่ผมถนัดและเล่นบ่อยสุดคือ ยักคิ้ว ส่งผลให้กล้ามเนื้อบริเวณหน้าผากของผมขึ้นเป็นลอน ๆ สวยงาม จนมีคนเข้าใจผิดคิดว่าหน้าผากย่น) และไม่ยอมกินผัก

อย่างหลังนี่ผมปกปิดเป็นความลับมาตลอดนะครับ จนกระทั่งมาดูหนังเรื่อง Season Change เห็นว่าพระเอกก็ไม่กินผัก และดูน่ารักดี ผมจึงยินยอมเปิดเผยบ้าง

ผลลัพธ์ก็คือ ไม่มีสาวสวยที่ไหนมาพูดอะไรจี๊ด ๆ กับผมเหมือนอย่างในหนังเลยว่า “ไม่กินผัก ทำไมไม่บอก” เพื่อนฝูงญาติมิตรทั้งหมดเมื่อรู้ความจริง ต่างพากันพูดเป็นเสียงเดียวว่า “ไอ้นี่ลืมกำพืช” ซึ่งฟังดูเลวร้ายคล้าย ๆ “ลืมกำพืด” เหมือนดังแล้วหยิ่งยังไงยังงั้นเชียว

นอกจากไม่กินผักแล้ว ผมยังไม่มี ไม่ยอม ไม่ซื้อ และไม่ใช้โทรศัพท์มือถืออีกต่างหาก อันนี้ไม่ได้เลวร้ายเฉพาะแค่ล้าหลังทางด้านการสื่อสารเท่านั้น แต่ยังมีความผิดอุกฉกรรจ์ในแง่ที่ว่า ไม่ส่งเสริมธุรกิจของมิสสะเตอร์ taxsin (แปลว่า “ผู้มีบาปอันเกิดจากภาษี” นะครับ หมอนี่เป็นใครที่ไหนก็ไม่รู้ ชื่ออ่านออกเสียงได้ใกล้เคียงกับคุณทักษิณเหลือเกิน จนผมเขียนไปแล้วก็เสียวสันหลังขึ้นมาแว๊บ ๆ)

พูดถึงสันหลังแล้ว ผมก็ต้องขอสารภาพเพิ่มเติมว่า ผมเป็นพวกวัวสันหลังหวะ เป็นตุ๊กแกกินปูนร้อนท้อง กล่าวคือ ได้ทำความผิดเอาไว้มากมายก่ายกอง แล้วก็เกิดอาการกระวนกระวายกลัวโดนจับได้

ผมทำผิดกฎ กติกา มารยาทอยู่เป็นประจำ เช่น แซงคิวเวลารอจ่ายเงินในร้านสะดวกซื้อ ล้ำเส้นเหลืองจนยามเป่านกหวีดไล่บนสถานีรถไฟฟ้า (ผมล้ำเส้นเหลือง เพราะเวลาขึ้นรถไฟฟ้าทีไร มักจะเกิดความสงสัยอยู่เสมอ นั่นคือ ผมสงสัยว่า “รถไฟฟ้า” นั้น มีปลั๊กเสียบซ่อนอยู่ตรงไหน จึงพยายามชะโงกมองหาทุกครั้งที่มีโอกาส)

แม้กระทั่งยามเมื่อนั่งมอเตอร์ไซค์เวลาที่รถติดหนัก ๆ ผมก็ยังทำผิดกฎหมาย ด้วยการไม่ใส่หมวกกันน็อค ไม่ใช่เพราะว่าไม่ยอมใส่ หรือถือว่าหัวแข็งมีความแกร่งเป็นพิเศษหรอกนะครับ เป็นการ “บกพร่องโดยสุจริต” ขนานแท้ เนื่องจากวินมอเตอร์ไซค์ส่วนใหญ่ที่ผมใช้บริการ (ซึ่งมีชื่อว่า “วินโด้” และ “วินนีเดอะพูห์” วินแรกหัวหน้าทีมชื่อไอ้โด้ ส่วนวินหลังหัวหน้าวินชอบใส่เสื้อยืดลายตุ๊กตาหมีพูห์) ไม่มีหมวกกันน็อคให้ผมใส่

ภาพที่ปรากฏอยู่เนือง ๆ ตามท้องถนนเวลาผมนั่งมอเตอร์ไซค์ก็คือ ผมต้องยกมือตั้งการ์ดสองข้างขึ้นสูงแบบนักมวย (ซึ่งตรงกับสำนวนที่ใช้ในรายการ “ยอดมวยเอก” ว่า สวมหมวกกันน็อค) อันนี้เวลาเจอะเจอจราจรที่ดูมวยเป็นก็โชคดีไป แต่ถ้าจราจรไม่เข้าใจกีฬามวยเพียงพอ นอกจากจะผิดกฎหมายโดนปรับแล้ว ผมยังโดนมองว่าสติไม่เรียบร้อยอีกหนึ่งกระทง

โชคดีอยู่อย่างที่ทุกวันนี้ผมไม่ต้องรีบเร่งฝ่าการจราจรติดขัด ไม่ค่อยได้ใช้บริการของมอเตอร์ไซค์ในยามเร่งด่วนอีกต่อไป เนื่องจากไม่ได้ทำงานประจำเป็นพนักงานกินเงินเดือนที่ไหนอีกแล้ว เพราะสมัยที่ยังเป็น “มนุษย์เงินเดือน” ผมสร้างวีรกรรมแย่ ๆ เอาไว้เยอะ จนได้รับฉายาว่า “สายหยุด”

แปลง่าย ๆ ได้ว่า ถ้าหากวันไหนผมไม่มาทำงานสาย ผมก็ถือโอกาสหยุดเอาดื้อ ๆ โดยไม่มีการลาป่วย ลากิจ หรือลาก่อนเลยสักอย่าง

สมัยที่ผมทำงานประจำ มีเพื่อนคนหนึ่งเขียนคำขวัญเอาไว้ในสมุดบันทึกของตัวเองว่า “ไม่ฆ่าน้อง ไม่ฟ้องนาย ไม่ขายเพื่อน” พอเพื่อนเผลอ ผมก็แอบไปหยิบเปิดอ่าน และลงมือตัดทอนต่อเติมข้อความเสียใหม่จนกลายเป็น “ฆ่าน้อง ฟ้องนาย ขายเพื่อน กลบเกลื่อนความจริง หลีหญิงไปทั่ว”

หลังจากนั้น เมื่อไรก็ตามที่ผมยกประเด็น “ผมเลวกว่าหมา และไม่ได้มาจากดาวคะนอง” ขึ้นมาคุยกับใคร พอเล่าให้ฟังถึงตรงนี้ ทุกคนที่เคยสงสัยข้องใจก็เลิกกังขา และลงความเห็นมีมติเป็นเอกฉันท์ว่า “มันบัดซบจริง ๆ เลย”

ความชั่วร้ายอีกอย่างของผมคือ ชอบแอบอ้างอะไรต่อมิอะไรเป็นเครดิตของตนเอง สำนวน “มันบัดซบจริง ๆ เลย” นี้ก็เช่นกัน ผมเป็นผู้ให้กำเนิดและเป็นต้นตอที่มาทั้งหมด โดยไม่ได้ลงทุนคิดอะไรเลยนะครับ

เกือบลืม ชื่อหนังสือ “ผู้ชายเลวกว่าหมา และไม่ได้มาจากดาวอังคาร”, “ผู้ชายมาจากดาวอังคาร ผู้หญิงมาจากดาวศุกร์” ชื่อรายการโทรทัศน์ “ถึงลูกถึงคนค้นคน”, “เรื่องเหล้าเช้านี้กับแกล้มคืนนั้น” และอีกหกพันเจ็ดร้อยแปดสิบสี่ชื่อที่นิยมยกย่องกันว่าช่างคิดสร้างสรรค์และตั้งได้ดีเหลือเกิน

ชื่อเหล่านี้บางอันก็เป็นคนอื่นตั้ง บางอันผมก็ไม่ได้เป็นคนคิด แต่สรุปรวมแล้ว ผมยินดีรับความดีความชอบทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียวล้วน ๆ (โดยไม่ยอมแบ่งปันกับใคร และตั้งใจจะไม่จ่ายภาษีด้วย ใครจะทำไม?)

ผมมีความเลวร้ายกว่านี้อีกเยอะที่ยังไม่ได้เล่า ไม่ได้ละอายใจหรือรู้สึกสำนึกผิด เกิดมีจริยธรรมขึ้นมาฉับพลันหรอกนะครับ

แค่ขี้เกียจเท่านั้นเอง หาววววววววววววว (ผม “หาว” นะครับ และไม่ได้หาวครั้งเดียวด้วย ยังมีอีกสอง แต่ขี้เกียจเขียนให้ครบ)




(เขียนและเผยแพร่ครั้งแรกในคอลัมน์ "มนุษย์ไร้สาระวีหนึ่ง" เว็บไซต์ โอเพ่น ออนไลน์

1 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ขอบคุณมากเลยนะครับ สำหรับบทความ