วันอังคารที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ซามูไร ไส้หวาน โดย "นรา"


ชื่อบทความชิ้นนี้ ผมตั้งขึ้นขณะนึกหิวอยากกินซาลาเปาพอดี ผลลัพธ์จึงออกมาค่อนข้างตะกละอย่างที่เห็นกันอยู่ แต่ความหมายแท้จริงก็คือ เจตนาจะกล่าวถึงหนังซามูไรเรื่อง Love and Honor ผลงานกำกับของลุงโยจิ ยามาดะ

Love and Honor เป็นงานต่อเนื่องลำดับที่สาม จัดเข้าชุดอยู่ในหมวดหมู่เดียวกันกับ The Twilight Samurai (หนังปี 2002) และ The Hidden Blade (2004) ทั้งหมดมีเนื้อเรื่องเหตุการณ์แยกขาดไม่เกี่ยวข้องกัน แต่จุดร่วมเชื่อมโยงก็คือ ต่างล้วนดัดแปลงจากรวมเรื่องสั้นชื่อชุด The Bamboo Sword and Other Samurai Tales ของชูเฮอิ ฟูจิซาวะ นักเขียนนิยายอิงประวัติศาสตร์ที่โดดเด่นมากสุดท่านหนึ่งของแวดวงวรรณกรรมญี่ปุ่น

เนื้อเรื่องคร่าว ๆ ของ Love and Honor กล่าวถึงซามูไรหนุ่มชื่อชินโนโจ มิมุระ ซึ่งมีตำแหน่งเป็น “หน่วยกล้าชิม” คือคอยทำหน้าที่ตรวจสอบอาหารว่ามีการลักลอบวางยาพิษหรือไม่ ก่อนจะนำไปให้ขุนนางชั้นสูงรับประทาน

มิมุระเบื่อหน่ายภารกิจดังกล่าว อันเป็นงานระดับล่าง ปราศจากหนทางก้าวหน้า และแทบจะกล่าวได้ว่าไร้เกียรติยศใด ๆ เขาจึงตระเตรียมวางแผนลาออก เพื่อตั้งโรงเรียนสอนวิชาดาบ ทว่าโชคร้ายคราวเคราะห์ก็เกิดขึ้นเสียก่อนที่จะได้ทันทำตามความตั้งใจ

ระหว่างตรวจสอบอาหารมื้อหนึ่ง มิมุระเจอ “อาหารเป็นพิษ” เข้าไปเต็ม ๆ เนื่องจากพ่อครัวปรุงหอยทะเลชนิดหนึ่งอย่างไม่ถูกต้องตามหลักวิธีการ จนกลายเป็นอันตรายต่อคนกิน ซามูไรหนุ่มได้รับการช่วยชีวิตไว้ทันท่วงที แต่ก็ต้องพิการตาบอด

เหตุการณ์ส่วนใหญ่ที่เหลือของหนัง กล่าวถึง สภาพชีวิตความเป็นอยู่อันยากลำบากหลังจากตาบอด ไม่เพียงแต่จะต้องสูญเสียหน้าที่การงาน ปราศจากรายได้เท่านั้น ทว่าเรื่องหนักหนาสาหัสสุดคือ การที่จู่ ๆ ต้องกลายเป็นคนพิการ มีชีวิตอย่างเคว้งคว้างไร้คุณค่า ความรู้สึกดังกล่าวสั่งสมทวีมากขึ้น จนนำไปสู่สภาพท้อแท้ทอดอาลัย และปรารถนาจะฆ่าตัวตาย

ความเป็นหนังรักโรแมนติคของ Love and Honor เริ่มต้นทำงานอย่างมีประสิทธิภาพตรงนี้นี่เอง เมื่อตัวละครสำคัญอีกคนคือ คาโยะภรรยาของซามูไรหนุ่ม ต้องแบกรับภาระดูแลครอบครัว รวมทั้งประคับประคองให้กำลังใจดูแลความรู้สึกของมิมุระ

ฉากที่เธออ้อนวอนสามีให้ล้มเลิกความตั้งใจที่จะฆ่าตัวตาย เป็นหนึ่งในฉากจี๊ดมากของหนัง(และทำให้ผมนึกถึงประโยคเด็ดในละคร’ถาปัดเรื่อง เดชไอ้ด้วน ที่ว่า “ชีวิตเจ้ามีค่า ชีวิตข้ามีเจ้า” ความหมายและอารมณ์ตรงกันเป๊ะเลยครับ)

เรื่องราวมาหักมุมพลิกผันอีกครั้ง เมื่อคาโยะต้องบากหน้าไปขอความช่วยเหลือจากผู้มีอำนาจคนหนึ่ง เพื่อความอยู่รอดทางด้านปากท้องของครอบครัว ทว่าผลลัพธ์กลับลงเอยเลวร้ายถึงขั้นทำให้เธอต้องประพฤตินอกใจสามี (ในแบบกึ่ง ๆ ยินยอมกึ่ง ๆ โดนบังคับขู่เข็ญ)

ประเด็นขัดแย้งต่าง ๆ จึงเกิดขึ้น อันดับแรกคือความร้าวฉานระหว่างคู่สามีภรรยา มิมุระโกรธแค้นคาโยะถึงขั้นตัดขาดความสัมพันธ์ ขับไล่เธอออกจากบ้าน ถัดมาซามูไรหนุ่มตัดสินใจจับดาบอีกครั้ง เพื่อท้าดวลกับศัตรูที่ทำให้ครอบครัวแตกแยก และกอบกู้เกียรติยศศักดิ์ศรีกลับคืนมา

ทั้งหมดนี้คือเนื้อเรื่องเหตุการณ์คร่าว ๆ ของ Love and Honor ซึ่งถือได้ว่าเป็นพล็อตที่ปกติธรรมดามาก แต่ความน่าประทับใจนั้นอยู่ที่การแจกแจงรายละเอียดต่าง ๆ อย่างสมจริง ดำเนินเรื่องเนิบช้าค่อยเป็นค่อยไป และเน้นความหนักแน่นสมจริง ขณะเดียวกันก็มีเสน่ห์เล็ก ๆ น้อย ๆ บางอย่างสอดแทรกไว้ตลอดเวลา จนทำให้เรื่องราวเรียบง่ายนั้น มีชีวิตชีวาชวนติดตามเป็นอย่างยิ่ง

คุณลุงโยจิ ยามาดะเป็นผู้กำกับที่ไม่ได้โดดเด่นในด้านสไตล์การนำเสนอ ไม่ได้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอะไรที่แปลกใหม่ให้เป็นที่ยกย่องจดจำเมื่อเทียบกับคนทำหนังชั้นครูหลายท่านในยุคใกล้เคียงกัน

พูดอีกแบบก็คือ หนังของเขาเต็มไปด้วยลีลาเก่า ๆ โบร่ำโบราณ แต่ในด้านการโน้มน้าวผู้ชมให้รู้สึกร่วมคล้อยตาม ความโดดเด่นในการผสมรวมอารมณ์ต่าง ๆ อันหลากหลาย ตั้งแต่ครื้นเครงเฮฮา โรแมนติค (ขอย้ำว่าหวานมาก) และซาบซึ้งสะเทือนใจเข้าด้วยกันอย่างกลมกลืนและแม่นยำ รวมทั้งแง่คิดมุมมองแบบคนเข้าใจโลกเข้าใจชีวิต กล่าวได้ว่าเหล่านี้ลุงโยจิ ยามาดะยอดเยี่ยมไม่เป็นสองรองใคร

ที่น่าทึ่งก็คือ ฉากต่อสู้ดวลดาบ (ซึ่งมีให้เห็นกันเพียงเล็กน้อย) ในไคลแม็กซ์บทสรุปของหนัง เต็มไปด้วยความตื่นเต้นเร้าใจ สง่างาม และขลังเหลือเกิน

ความน่านับถืออีกประการหนึ่งของลุงโยจิ ยามาดะก็คือ การทำหนังโดยยึดมั่นในรูปแบบที่ตนเองถนัดอย่างเหนียวแน่น ไม่เคยหันเหคล้อยตามเปลี่ยนแปลงแนวทางเพื่อให้เข้ากับกระแสหรือยุคสมัย และประสบการณ์ทำงานอันต่อเนื่องยาวนานก็ส่งผลให้คุณลุงกลายเป็นผู้กำกับที่เก๋าสุด ๆ สามารถทำให้ลีลาล้าสมัยซึ่งควรจะแลดูเชยหลงยุค กลับกลายเป็นงานเท่เฉียบขาดทันสมัยขึ้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผมประทับใจมากสุดใน Love and Honor ก็คือ บทสรุปทิ้งท้ายว่าด้วยการที่ตัวเอกซามูไรหนุ่มได้เรียนรู้ว่า แก่นแท้สูงสุดของความรัก ได้แก่การรู้จักให้อภัย และการค้นพบความจริงว่า ผู้หญิงที่ตนรัก เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ขาดไม่ได้ เนื่องจากต่างฝ่ายต่างเป็นเหตุผลแรกตลอดจนเหตุผลหลัก ในการดำรงอยู่เคียงข้างเพื่อกันและกัน (ลุงโยจิ ยามาดะแสดงชั้นเชิงอันแยบยลได้งดงามราวกับบทกวี โดยการเทียบเคียงแง่มุมเหล่านี้ ผ่านรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างเช่น นกคู่หนึ่งที่เลี้ยงอยู่ในกรง เมื่อคู่ของมันตายจาก นกตัวที่เหลือก็เหมือนปราศจากจิตวิญญาณในการมีชีวิตต่อไป)

ที่สำคัญ ฉากการปรับความเข้าใจระหว่างพระเอกกับนางเอกในตอนจบของหนังเรื่องนี้ น่ารักและหวานสุด ๆ รวมทั้งทำเอาน้ำตาซึมไปเลย (พูดอีกแบบคือ ถ้าแสดงออกมากไปหน่อย น้อยไปนิด ก็อาจมีสิทธิเลี่ยนหรือกร่อยได้ง่ายมากนะครับ) เป็นฉากที่ไต่เลาะอยู่ระหว่างการขาดพร่องจนเข้าข่าย “ทำไม่ถึง” หรืออาจมากล้นเกินไปกระทั่ง “ฟูมฟาย” แต่ลุงโยจิ ยามาดะก็ควบคุมให้ออกมาตรงจุดกึ่งกลาง ซึ่งแปลไทยเป็นไทยได้ว่า “น่าประทับใจ” เหลือเกิน

Love and Honor บอกกล่าวกับเรา ๆ ท่าน ๆ ว่า ความรักทำให้คนตาบอด...ได้เห็นแสงสว่าง
(เขียนและเผยแพร่ครั้งแรกในคอลัมน์ Romantic Comedy นิตยสาร HAMBURGER



ไม่มีความคิดเห็น: