วันอังคารที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2551

เมื่อคืนนี้...ผมฝันถึงรัสเซียและเสี่ยหมี โดย "นรา"


จิตใต้สำนึกของผมคงจะมีธาตุเหลวไหลฟุ้งซ่านเจือปนประกอบอยู่เยอะนะครับ จึงมักจะเก็บเอาไปแปรรูปเป็นความฝันพิลึกกึกกืออีตอนหลับอยู่เป็นประจำสม่ำเสมอ


ล่าสุดใหม่เอี่ยมแกะกล่องเมื่อคืนที่ผ่านมา ผมฝันว่าอยู่ดี ๆ ก็จรลีเดินทางไปยังประเทศรัสเซีย ด้วยสาเหตุต้นตอที่ยังคงลึกลับมืดมน ท่ามกลางข่าวลือซุบซิบว่าเป็นการลี้ภัย


ในความฝันนั้น ผมกำลังจะขึ้นรถเมล์เพื่อกลับบ้านตามปกติ แต่แล้วก็เผลองีบหลับสัปหงกระหว่างการจราจรติดหนึบขนาดหนัก มารู้ตัวอีกทีเมื่อรถเมล์เบรคดังเอี๊ยด จนผมหัวทิ่มหน้าคะมำตกใจตื่น (จากการงีบ แต่จริง ๆ แล้วยังหลับและฝันอยู่นะครับ)

ผมเหลือบมองไปทางหน้าต่าง เห็นหิมะตกโปรยปรายเต็มท้องถนน ตึกรามบ้านช่องสองข้างทาง หน้าตารูปทรงแปลก ๆ แบบที่ผมไม่เคยเห็นของจริงมาก่อน แต่คุ้นตาจากในหนังฝรั่งหลาย ๆ เรื่อง


“ที่นี่คือที่ไหนกัน” ผมหันไปถามเจ๊ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ (หน้าตาเหมือนอาร์แซน แวนเกอร์ ผู้จัดการทีมอาร์เซนอล แต่ตาตี่แบบคนมีเชื้อสายจีน และเลี่ยมฟันทอง) ด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้านตื่นตกใจ


“รัสเซีย” เจ๊ตอบเหมือนไม่ยินดียินร้าย ราวกับเป็นเหตุการณ์ปกติ เหมือนรถเมล์แล่นผ่านแถว ๆ ประตูน้ำ

“แล้วรถไปสุดสายที่ไหนครับ” ผมถามอีกครั้ง ด้วยความวิตกกังวล


“ตลาดพลู” เจ๊ตอบเสียงห้วน ๆ สายตามีแววตำหนิติเตียน ประมาณว่า ไม่รู้แล้วดันทุรังนั่งมาตั้งนานทำไม (วะ)

ผมใช้เวลาเก้าจุดสามเจ็ดสองวินาที ทำลายสถิติโอลิมปิค ประเภทคิดสั้นระยะร้อยเมตร คำนวณหาข้อดีข้อเสีย ว่าควรจะนั่งต่อไปเรื่อย ๆ จนถึงตลาดพลู หรือตัดสินใจลงที่รัสเซียดี

ถ้าลงตลาดพลู ซึ่งเป็นคนละทิศกับบ้านผม (อยู่แถวบางจาก) ต้องเสียเวลานั่งรถย้อนกลับมาอีกไกล

แต่ถ้าลงที่รัสเซีย ยิ่งไกลกว่ามหาศาล และอาจหารถเมล์กลับบ้านไม่ได้ แถมยังหนาวอีกต่างหาก

นกนางนวลต่างกับนกนางนวลทะเลมากทีเดียว นกทั้งสองชนิดนี้ไม่เหมือนกันเลยสักอย่าง ผมคิดราวกับขโมยมาจากงานเขียนของฮารูกิ มูราคามิแบบหน้าด้าน ๆ

คิดได้ดังนั้น ผมก็ถูมือแปลงกายเป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจากประเทศไทย และตัดสินใจลงแวะที่รัสเซียทันที

เจ๊คนเดิม ชะโงกศีรษะโผล่ออกมานอกหน้าต่าง ขณะที่รถเมล์กำลังแล่นพ้นเลยป้ายไปอย่างรวดเร็ว แก ตะโกนมาทางผมว่า “เฮ้ย!!! นั่นรัสเซียนะโว้ย มึงขอวีซ่ารึยัง? แล้วพาสสปอร์ตอีกล่ะ มีมั้ย? รู้ที่แลกเปลี่ยนเงินบาทเป็นรูเบิลรึเปล่า? กระเป๋าใส่สัมภาระเอามากี่ใบ? คืนนี้มึงจะนอนพักที่ไหน? อคาเดมี แฟนตาเซีย ซีซั่นหน้า จะโหวตให้ใครดี?”

ท่าทางเจ๊แกคงจะเป็นคนขี้สงสัยนะครับ แต่ที่ผมสงสัยกว่านั้นก็คือ รถเมล์หรือก็วิ่งออกจะเร็ว เจ๊สามารถตะโกนถามอะไรต่อมิอะไรเยอะแยะครบถ้วนได้ยังไง

ท่านผู้อ่านก็ไม่ต้องส่ง SMS มาตอบหรอกนะครับ ข้อความจำพวก “คืนนี้หงส์ชนะแน่” หรือ “เมื่อเช้าลำพูนหนาวจัง” ผมเคยผ่านตาและเห็นมาเยอะแล้ว

ผมลงมายืนกลางถนน สูดลมหายใจเฮือกใหญ่ดูดเอาอากาศรัสเซียเข้าไปจนชุ่มปอด กางแขนสองข้างเหยียดตรงออกไปยื่นมือรับหิมะ ใจหนึ่งก็อยากจะก้มลงกราบแผ่นดินรัสเซียแบบ “พี่บางคน” เคยทำที่สนามบินสุวรรณภูมิดูบ้าง แต่มานึกภาพ ตูดโด่งโก้งโค้งกลมๆ ที่ลอยมาติดตาหลอกหลอนความรู้สึกของผู้พบเห็นแล้ว ก็เลยล้มเลิกความคิด เพราะใจไม่ถึง


ที่สำคัญ แถว ๆ นั้นไม่มีช่างภาพสื่อมวลชนมาคอยทำข่าวด้วย


ก่อนจะเล่าเรื่องการผจญภัยในรัสเซียต่อไป ผมควรแนะนำตัวเด็กชายพี่หมีสักเล็กน้อยนะครับ

ผมมีตุ๊กตาหมีพูห์ตัวหนึ่ง ส่วนสูงนั้นเตี้ยราว ๆ หกนิ้ว หลังจากติดตามผมออกผจญภัยมานานสิบกว่าปี มันก็กลายสภาพเป็นเด็กชายพี่หมี สภาพมอมแมมร่วงโรย มีชีวิต พูดได้ และนิสัยติงต๊อง (พอ ๆ กับผม)


เวลาผมไปไหนมาไหน พี่หมีมักติดสอยห้อยตามผมตลอด ไม่ว่าจะเที่ยวทะเล เข้าป่า เดินเขา หรือซัดเซพเนจรแถว ๆ ถนนข้าวสาร

ตอนฝันว่าไปรัสเซีย พี่หมีก็ร่วมซีนอยู่ด้วย มันค่อย ๆ ปีนออกจากระเป๋าผ้าสะพายไหล่ของผม

ผมปรึกษาหารือกับพี่หมีว่าจะเอายังไงต่อไปดี


“ก่อนอื่น ตอนนี้อั๊วไม่ใช่เด็กชายพี่หมีแล้ว แต่เป็นเสี่ยหมี วินนี-เดอะ-พูห์อับราโมวิช โปรดเข้าใจให้ถูกต้อง” ตุ๊กตาหมีของผม พูดด้วยท่าทีกร่าง ๆ อวดพุงกลม ๆ

“ครับ เสี่ย” ผมตอบด้วยทีท่าอาการสำรวม


“ดีมาก” เสี่ยหมีผงกศีรษะเล็กน้อย “มาเที่ยวรัสเซียทั้งที จะให้เร้าใจ มันต้องหาส้มบางมดหรือทุเรียนเมืองนนท์มากินแก้หนาวกันหน่อย”


“ทำไมล่ะครับ?” ผมถามและฉงนสงสัย


“เรามันเด็กแนวว่ะ จะให้ดื่มว้อดก้าแกล้มคาเวียร์ได้งัย โหล ๆ ดาด ๆ เชยตายห่า ส้มบางมดกับทุเรียนเมืองนนท์นี่แหละ หายาก แพงดี กินแล้วค่อยสมศักดิ์ศรีคนมีกะตังค์ แหล่ม รู้จักมั้ย แหล่ม”


เด็กชายพี่หมีในฐานะเจ้าถิ่น จึงนำพาผมออกดั้นด้นค้นหาแหล่งซื้อขายส้มบางมดกับทุเรียนเมืองนนท์

เราเดินผ่านจตุรัสแดงแบบรีบ ๆ ลวก ๆ เนื่องจากไม่เคยเห็นของจริงมาก่อน บรรยายไม่ค่อยถูก เลี้ยวเข้าตามตรอกซอกซอยคดเคี้ยวหลายแห่ง จนกระทั่งมาหยุดลงตรงตึกเก่า ๆ รูปทรงสี่เหลี่ยมแข็งทื่อ ซึ่งเป็นการออกแบบชนิดเอาแบบออก ไม่เหลือสิ่งใด ๆ ที่พอจะเรียกได้ว่าเข้าข่ายการดีไซน์

ภายในตัวอาคาร มีเคาน์เตอร์สำหรับลงทะเบียนเหมือนโรงแรมทั่วไป ชายชาวรัสเซียวัยกลางคน รูปร่างผอม แก้มตอบ จมูกงองุ้ม ยืนนิ่งกวาดสายตาคมกริบมาที่ผมกับพี่หมี เมื่อเราหยุดยืนตรงเบื้องหน้า


“มีอะไรให้ผมรับใช้ได้บ้าง สหาย” ชายวัยกลางคนเอ่ยถามแทนคำทักทาย


“บอนด์ ผมชื่อบอนด์...บอนด์ไทร มาจากประเทศไทย” ผมพยายามเก๊กหน้าเหมือนฌอน คอนเนอรีตอนหนุ่ม ๆ แต่ดันไม่ค่อยเหมือน ยกเว้นแลดูแก่ใกล้เคียงกับอายุของเขาในปัจจุบัน


“ผมชื่ออีวาน สหายโปรดแจ้งวัตถุประสงค์” อีวานพูดเป็นประโยคบอกเล่าและประโยคคำถามในคราวเดียวกัน


“ส้มบางมดและทุเรียนเมืองนนท์” ผมเปรย ๆ เป็นประโยคไม่ถาม ไม่ตอบ และค่อนข้างผิดหลักไวยากรณ์ แถมยังปราศจากความรู้เรื่องแกรมม่า จนสอบตกวิชาภาษาอังกฤษมาตลอดชีวิต


ชายดังกล่าว พยายามเก็บอาการให้ดูสงบนิ่ง แต่ก็ไม่อาจปกปิด แววตาสะดุ้งตกใจชั่ววูบ ก่อนจะรีบคุมสติทำทีเป็นปกติ และกระแอมหนึ่งครั้ง

“อะแฮ่ม สหายต้องบอกรหัสให้เราทราบ ด้วยการกล่าวอะไรสักนิด”


ผมนิ่งอึกอักอยู่ครู่ใหญ่ตรงหน้าไมโครโฟน กวาดสายตาเหลือบมองดูอีวานตรงเคาน์เตอร์ และบรรดาพนักงานที่นั่งเรียงรายบนเก้าอี้ ทุกคนล้วนจับจ้องมาที่ผม

สิบห้าวินาทีผ่านพ้นไปแบบไร้สุ้มเสียง ก่อนที่ผมจะเอ่ยทำลายความเงียบ ด้วยประโยคที่จำมาจากหนังโฆษณาปตท.

“ผม...ผมขอฝากที่นี่...ให้...น้อง ๆ ช่วยดูแลด้วยครับ ขอบคุณครับ”

ทั้งหมดปรบมือเกรียวกราว อีวานเข้ามาสวมกอดผม พร้อมกับกล่าวว่า “รหัสถูกต้อง ยินดีต้อนรับสหาย”

เด็กชายพี่หมียิ้มกริ่ม เดินเข้ามาผสมโรงสวมกอด แต่โดนอีวานหยิบปืนขึ้นมาจ่อหน้าผาก

“เดี๋ยว บอกรหัสมาก่อน”

ผมเหงื่อหยดซึมซ่านจากปลายคางมากระทบต้นแขนจนแตกดังโพละ ทั้ง ๆ ที่ข้างนอกหิมะตกหนาวเย็นเหมือนทาแป้งตรางูขณะกำลังอาบน้ำ ส่วนเสี่ยหมีหน้าซีดเผือด ทั้ง ๆ ที่เนื้อตัวสกปรกมอมแมม

มันพยายามใช้ความคิดจนสุดชีวิต ก่อนโดนปลายปืนกระแทกหน้าผากเข้าอย่างจังอีกครั้งเป็นการเร่งรัด

“บ้านนี้เมืองนี้มันเป็นอะไรกันหมด จะเอากันให้ตายเลยหรือไง...ปัดโธ่!... ” เด็กชายพี่หมีตะโกนขึ้นเสียงอย่างหงุดหงิด

“รหัสไม่ถูกต้อง แกเป็นใคร”

“อั๊วชื่อเสี่ยหมี”

อีวานพยักพเยิดส่งสัญญาณกับบรรดาลูกน้อง “เอาตัวมันไปสอบปากคำ”

ชายร่างใหญ่สองคน ก้าวพรวดเข้ามาหิ้วปีกเด็กชายพี่หมีที่พยายามดิ้นรนขัดขืน ผมพยายามแทรกตัวเข้าไปขัดขวาง แต่ดันซุ่มซ่ามสะดุดขาตัวเอง ด้วยความประหม่าตื่นเต้นแบบที่ “ยู้ ๆ หรู่” (เชื่อรึยังครับว่า ประหม่าจริง ๆ ขนาดจะเขียนว่า “รู้ ๆ อยู่” ลิ้นยังพันกันมาถึงปลายนิ้วจนพิมพ์ผิด)

เจ้ายักษ์คนหนึ่งจึงปล่อยหมัดอัปเปอร์คัทเข้าไปเต็มพุงของเสี่ยหมี (ผมควรบอกด้วยว่า ในความฝันครั้งนี้ ไม่มีเด็กหรือสัตว์ใด ๆ ได้รับบาดเจ็บ หรือเป็นอันตราย ยกเว้นก็แต่เสี่ยหมีนี่แหละ)

ก่อนหมดสติ (เนื่องจากเกิดอาการจุกจนอ็อกซิเจนเลี้ยงสมองไม่ทัน) เด็กชายพี่หมีครวญครางเบา ๆ ว่า “บอกแล้วให้ไปลอนดอนดีกว่า มีสโมสรฟุตบอลอังกฤษให้ซื้อเยอะแยะเลย”

ผมค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน ทั้งเจ็บ ทั้งอาย (ไม่ได้อายที่หกล้ม แต่อายที่พิมพ์ผิด) และโกรธ ยกมือชี้นิ้วด่าอีวาน “แก ไอ้คนใจโหด ทำร้ายแม้กระทั่งลูกหมีที่ไม่มีทางสู้, ลูกหมีสกปรก, ลูกหมีขี้ตะกละ, ลูกหมีนิสัยบ้า ๆ บอ ๆ, ลูกหมีหัวรุนแรงกลิ่นตัวเหม็น...ลูกหมี...”

เด็กชายพี่หมีพึมพำเหมือนละเมอทะลุกลางป้องขึ้นมา ทั้ง ๆ ที่ยังหลับตาหมดสติ “ไม่ต้องบรรยายสรรพคุณละเอียดก็ได้”

“หึ หึ หึ” อีวานหัวเราะชั่วร้ายเจ้าเล่ห์ฆ่าเวลา เลียนแบบหนังแอ็คชั่นหลากสัญชาตินับล้านเรื่อง ระหว่างที่ผมยังนึกไม่ออกว่าจะฝันยังไงต่อไป

“ความผิดของสหายก็คือ ลักลอบเข้าเมือง, ปลอมตัวเป็นสายลับอังกฤษ, มีพฤติกรรมเป็นจารชนสอดแนม และเป็นเพื่อนกับไอ้ลูกหมีเน่า ๆ ตัวนั้น เราคือดินแดนเจ้าของสมญาหมีขาว สหายกับสหายของสหาย (หมายถึง ผมกับเด็กชายพี่หมีซึ่งเป็นเพื่อนของผมที่ถูกอีวานเรียกว่าสหาย โอย! ตอนฝันก็ว่าปวดหัวแล้ว ตอนเขียนก็ยิ่งปวดหัวหนักขึ้นอีก) ลบหลู่เหยียดหยามพวกเราเป็นอย่างยิ่ง ถึงขั้นอภัยให้ไม่ได้ ผมเสียใจที่เราต้องใช้วิธีลงโทษขั้นเด็ดขาด”

สมุนของอีวานจับตัวผมไปเข้าห้องทรมาน ถูกตรึงแขนขาล่ามไว้ด้วยโซ่เหล็กกล้าบนเตียง ทั้งเนื้อทั้งตัวผมเหลือเพียงกางเกงบอลที่ใส่ตอนเข้านอน ส่วนท่อนบนโป๊และเปลือยจนต้องทำภาพเบลอ ๆ กันอุจาด

เจ้ายักษ์คนเดียวกับเมื่อหกเจ็ดย่อหน้าที่แล้ว หยิบน้ำแข็งก้อนมาลูบไล้บริเวณอก หลัง และคอของผม เหมือนทาวิคส์วาโปรับแก้หวัด ทำเอาผมสะท้านเยือกหนาวสั่นสุดขีด (โปรดอย่าลืมว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา ข้างนอกนั้นยังมีหิมะตกโปรยปรายอยู่เรื่อย ๆ)

นั่นเป็นแค่ความทรมานขั้นต้น เจ้ายักษ์หยิบน้ำแข็งอีกก้อน เทแป้งตรางูโรยน้ำแข็งจนขาวไปทั้งก้อน จากนั้นก็ลูบไล้ไปยังที่เดิม พร้อมทั้งปาลูกอมรสมินท์เข้าไปในปาก ขณะที่ผมร้องตะโกนสุดเสียง

“ช่วยด้วยยยยยยยยยย!!!!!!!!!!!”

ผมตกใจตื่นในชั่วเสี้ยววินาทีนั้นเอง ความรู้สึกแรกก็คือ หนาวชิบเป๋งเลยครับ เมื่อพยายามลืมตาอันสะลึมสะลือ นั่งงัวเงีย ถอนหายใจแรง ๆ อีกพักใหญ่ จึงค่อยค้นพบว่า ฝันร้ายเนื่องจากเมื่อคืนเผลอนอนใกล้พัดลมไปหน่อย ครั้นเหลียวซ้ายแลขวามองหาเด็กชายพี่หมี ก็ไม่มีวี่แววไร้ร่องรอย

จนเมื่อทิ้งตัวลงนอนอีกครั้ง เพื่อเตรียมจะฝันล้างแค้นช่วงชิงตัวเด็กชายพี่หมีกลับมา ผมถึงได้รู้ว่า มันแบนแต๊ดแต๋ติดอยู่กลางหลังของผมเอง

เหตุการณ์ในฝันครั้งที่สอง ไม่ได้เกิดขึ้นที่รัสเซียหรอกนะครับ อีวานและสมุนจึงโชคดี รอดพ้นจากการโดนเวรกรรมตามสนอง กลายเป็นผู้ร้ายลอยนวล

ส่วนผมและเด็กชายพี่หมี กลายเป็นนกเพนกวิน เดินเตาะแตะต้วมเตี้ยมอยู่แถว ๆ ขั้วโลกเหนือ

หลังจากตื่นนอนอย่างแท้จริงในอีกสองชั่วโมงต่อมา ผมกับเด็กชายพี่หมีก็หยิบเพลง “จากไปลอนดอน” ของวงชาตรีมาฟัง ประมาณว่าเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ

เราตกลงกันแล้วว่า คืนนี้อยากจะฝันถึงลอนดอนและบางคน-ที่คุณก็รู้ว่าใคร

ป.ล. สาบานได้ว่า เรื่องนี้เขียนเพื่อถ่ายทอดบอกเล่าความฝันบ้า ๆ บอ ๆ ของผมเอง ไม่มีแก่นสาร, ไม่ได้ซ่อนนัยยะ,ไม่มีความหมายแอบแฝง, ปราศจากแง่คิด, ไม่ได้แทรกสัญลักษณ์ใด ๆ ให้ตีความ หรือมีเจตนาจะกระทบชิ่งพาดพิงถึงคนเหลี่ยมคนไกลที่ไหนเลย แต่หากผู้อ่านท่านใดอยากจะคิดเช่นนั้น...ผมก็ขออนุโมทนา และหากนึกอะไรได้ก็อย่าลืมนำมาเล่าให้ผมฟังด้วย ชักอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาบ้างเหมือนกัน




(เขียนเมื่อ 18 สิงหาคม เผยแพร่ครั้งแรกในคอลัมน์ "มนุษย์ไร้สาระวีหนึ่ง" โอเพนออนไลน์)

1 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ขอบคุณมาก ๆ นะครับ