วันพุธที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ผู้หญิงแปลกหน้า โดย "นรา"


แม้ว่าผมจะยังคงลงมือเขียนต้นฉบับชิ้นนี้ที่ "เซฟเฮาส์" เหมือนเดิม แต่ฉากหลังของเรื่องที่จะนำมาเล่าสู่กันฟัง กลับเกิดขึ้นในดินแดนห่างไกล ต้องรอนแรมข้ามน้ำข้ามทะเล (และหลังคาบ้านอีกจำนวนนับไม่ถ้วน) ไปถึงลอนดอนนู่นเชียว

ผมนั้นใฝ่ฝันอยากเป็นนักเขียนเรื่องประเภทเดินทางท่องเที่ยว (ทั้งในและนอกราชอาณาจักร) มาตลอดสิบกว่าปี แต่เอาเข้าจริงก็ดูเหมือนจะเป็นไปได้ยาก เพราะความขาดแคลนทางด้านทุนทรัพย์ ครั้นจะแบกเป้เร่ร่อนตะลอนเที่ยวแบบถูก ๆ ก็ติดขัดตรงกลัวลำบาก (เช่น เกรงว่าจะโดนยุงกัด คิดถึงบ้าน และอดกินข้าวเหนียวทุเรียนกวน เป็นต้น)

นี่ยังไม่นับรวมความรู้ด้านภาษาอังกฤษที่มีน้อยร่อยหรอพอ ๆ กับหางอึ่งตัวสุดท้องที่ขาดสารอาหาร

ยิ่งถ้าหากพิจารณาไปถึงหน้าตาซึ่งไม่เป็นมิตรต่อเพื่อนร่วมโลก มิหนำซ้ำยังเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการขอวีซ่าด้วยแล้ว ก็มีเหตุผลเหลือเฟือที่ผมสมควรจะปักหลักกบดานกักบริเวณอย่างมิดชิดด้วยความเจียมตัวประมาณตนอยู่ที่ "เซฟเฮาส์" เท่านั้น

หนทางเดียวที่พอจะเป็นไปได้คือ นั่งเฉย ๆ รอคอยจนกว่าจะมีใครมาเป็นเจ้าภาพเชิญไปเที่ยวเมืองนอก ชนิดดูแลอำนวยความสะดวกเสร็จสรรพเพียบพร้อมครบครัน ทั้งที่พัก อาหาร และตั๋วเครื่องบิน แต่ก็อีกนั่นแหละอยู่ดี ๆ คงไม่มีใครมาควักกระเป๋าทุกกระปุกพาคนสติไม่เรียบร้อยอย่างผมไปเที่ยวให้สิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ

อีกวิธีที่ดูดีขึ้นมาบ้างเล็กน้อยก็คือ ลงมือเขียนเรื่องเกี่ยวกับประสบการณ์ท่องเที่ยวต่างแดนให้เป็นกิจลักษณะ เพื่อพิสูจน์ให้เจ้าภาพในอนาคตทั้งหลายได้เห็นว่า ผมนั้นเข้าข่ายน่าพิจารณาพาไปเป็นลูกทัวร์ วิธีนี้ก็มีอุปสรรอย่างฉกรรจ์ตรงที่ว่า เมื่อไม่เคยไปเที่ยวมาก่อน ก็ไม่รู้จะสรรหาอะไรมาเขียนให้ทุกคนได้ประจักษ์ (ในความเป็นนักท่องเที่ยวดีเด่นสาขารักนวลสงวนฟอร์ม)

อย่างไรก็ตาม เท่าที่ผ่านมาเคยมีคนชวนผมไปเที่ยวเมืองนอกแลกกับข้อเขียนหนึ่งชิ้น เมื่อกลับมาทำงานชดใช้ตามกติกาเรียบร้อยแล้ว ผมก็แทบจะไม่ได้ลงมือทำอะไรเกี่ยวกับการเดินทางครั้งนั้นอีกเลย ทั้ง ๆ ที่แรกเริ่มเดิมทีได้ตั้งเป้าวางแผนร่างนโยบายเป็นโครงการมหึมายิ่งใหญ่อลังการเอาไว้ว่า จะเขียนเป็นหนังสือเล่มหนาขนาด The Lord of the Rings แช่น้ำจนบวมอืด

ความขี้เกียจนั้นเป็นเหตุผลอันดับแรก (เรื่องนี้น่าจะเป็นที่รู้กันดีอยู่แล้ว) ถัดมาคือ ผมคิดว่าจำเป็นต้องค้นข้อมูลหาความรู้เพิ่มเติม (เงื่อนไขนี้สำหรับผมแล้ว ถ้าคิดจะทำจริง ๆ ง่ายดายหมูตู้ เพียงแต่โดยปกติ "ไม่ค่อยคิด" นะครับ) แต่อุปสรรคที่หนักหนาสาหัสกว่าได้แก่ การหาเวลาปลอดโปร่งโล่งจากงานอื่น ๆ ประมาณหนึ่งเดือนสำหรับลงมือเขียน ซึ่งโดยภาระความรับผิดชอบตามปกติของผม ไม่เอื้ออำนวยให้ทำเช่นนั้นได้อย่างราบรื่นเรียบร้อย

เหนือสิ่งอื่นใดคือ ผมไม่อยากเขียนบอกเล่าแค่ว่า วันไหนเมื่อไรไปเที่ยวไหนทำสิ่งใด (และสรุปสิ่งต่าง ๆ ที่พบเห็นว่า "สวยจัง") ผมปรารถนาจะเขียนถึงเรื่องราว สถานที่ และเหตุการณ์ต่าง ๆ ด้วยมุมมองสายตาความเข้าใจที่ลึกซึ้งกว่านั้น อย่างน้อยที่สุดก็เพื่อจะได้ไม่แสดงอะไร "อวดโง่" และ "อวดฉลาด" ออกมาประจานตนเองจนเกินไป

นั่นย่อมหมายถึงการใช้เวลา ซึ่งไม่ได้จำเพาะเจาะจงแค่ห้วงขณะลงมือเขียน แต่ยังรวมระยะบ่มฟักความคิดและการทำความเข้าใจสารพัดสิ่งที่เจอะเจอในการเป็น "คนผ่านทาง" เพราะเหตุนี้เอง การไปเที่ยวหลากถิ่นหลายครั้งของผม (รวมถึงเมื่อคราวพา "พี่หมี" ขึ้น "พูห์กระดึง") จึงแทบไม่เคยคืบหน้าขยับเคลื่อนลงสู่บนหน้ากระดาษเลย ด้วยข้ออ้างง่าย ๆ คือ เรื่องราวในหัวของผมยังไม่เติบโตงอกงามจนได้ที่พอเหมาะ

เรื่องที่จะเล่าสู่กันฟังต่อไปนี้ก็เป็นกรณีหนึ่ง ซึ่งใช้เวลาเดินทางจากความทรงจำของผมสู่หน้ากระดาษเชื่องช้าเนิ่นนานถึงหกปี เหตุการณ์เกิดขึ้นตอนสาย ๆ วันหนึ่ง ขณะที่ผมกำลังเดินโต๋เต๋ตามตรอกซอกซอยต่าง ๆ ในลอนดอน จู่ ๆ ก็มีหญิงสาววัยยี่สิบต้น ๆ แต่งตัวสะอาดเรียบร้อย เดินจูงรถเข็นที่มีเด็กทารกอยู่ในนั้นตรงเข้ามาหา พร้อมทั้งเอ่ยปากขอเงินเป็นค่าอาหารลูกของเธอ ผมจึงหยิบเหรียญทั้งหมดที่มีอยู่ให้เธอ รวมแล้วตกประมาณ 3 ปอนด์กว่า ๆ (ตอนนั้นเทียบค่าเงินหนึ่งปอนด์เท่ากับห้าสิบบาท)

เธอรับเงินแล้วพูดกับผมหนึ่งประโยค ก่อนจะเดินลากรถเข็นจากไป

เรื่องนี้ติดค้างอยู่ในใจผมเสมอมา เมื่อนึกทบทวนย้อนหลัง ผมเกิดคำถามติดตามมาหลายข้อ เช่น เธอเป็นขอทานหรือเปล่า? ทำไมผมจึงให้เงินเธอโดยไม่กลัวว่าจะโดนโกหกหลอกลวง? และที่สำคัญ ทำไมผมจึงมีความสุขและรู้สึกดีเหลือเกินทุกครั้งที่นึกถึงเหตุการณ์ดังกล่าว?

ข้อแรกนั้นตอบง่ายครับ ผมคิดและเชื่อโดยสัญชาติญาณความรู้สึกว่า เธอไม่ใช่ขอทาน เป็นเพียงคนปกติธรรมดาที่บังเอิญกำลังตกอยู่ในช่วงเดือดร้อนเรื่องเงินทอง ผิดหรือถูกผมเองก็ไม่ทราบ แต่ปราศจากประโยชน์อันใดนะครับ ที่จะไปเที่ยวประเมินผู้อื่นให้อยู่ในฐานะต่ำต้อยด้อยกว่า ผมจึงเลือกเชื่อเช่นนี้ โดยไม่ใส่ใจต่อการพิสูจน์ข้อเท็จจริงใด ๆ ทั้งสิ้น

เรื่องโดนโกหกหลอกลวงยิ่งตอบง่ายกว่าเดิมเสียอีก ระหว่างการเชื่อผู้อื่นกับความหวาดระแวง ความรู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจย่อมเทน้ำหนักไปที่อย่างแรกมากกว่า

นอกเหนือจากนี้ ผมเชื่อตัวผมเองครับ เมื่อสมองสั่งการว่า โปรดหยิบเงินให้แก่หญิงสาวคนนั้น ก็ป่วยการที่จะหาเหตุคัดค้านขัดแย้งกับตนเองให้วุ่นวายใจ อย่างไรก็ตาม ผมหาคำตอบไม่ได้ว่า ทำไมถึงให้เงินหญิงสาวคนนั้น (นี่เป็นเงินให้ "คนแปลกหน้า" ที่แพงมากสุดในชีวิตของผมเลยทีเดียว)

ตรงนี้โยงใยมาสู่ความอับจนปัญญาในการหาเหตุผลว่า ทำไมผมจึงเอนเอียงไปทางประทับใจเมื่อนึกถึงเรื่องราวเหล่านี้?

มีคำอธิบายที่ดูดี (แต่ผมคิดว่าไม่เป็นความจริง) อยู่มาก เช่น ผมสุขใจจากการได้ช่วยเหลือผู้อื่นที่อยู่ในฐานะลำบากกว่า

ผมสุขใจเพราะในห้วงเวลาดังกล่าว หญิงสาวคนนั้นกับผมสามารถสื่อสารถึงกัน โดยไม่มีพรมแดนทางภาษาหรือเชื้อชาติเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่เป็นความเข้าใจเบื้องลึกระหว่างเพื่อนมนุษย์ ซึ่งทำให้ผมรู้สึกหลุดพ้นจากภาวะแปลกปลอมผิดที่พลัดถิ่น

ผมสุขใจเพราะเรื่องนี้เกิดขึ้นบนพื้นฐานของความไว้เนื้อเชื่อใจที่มีให้แก่กัน (แม้ว่าในความเป็นจริง ผมจะเชื่อทุกสิ่งที่เกี่ยวกับหญิงสาวคนนั้น แต่มันก็ไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้ผมเป็นสุขในการนึกถึงเรื่องนี้หรอก)

ผมมั่นใจนะครับว่า เหตุผลต่าง ๆ ที่หยิบยกมาข้างต้น ไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง เพราะเมื่อไรก็ตามที่ผมพยายามจะเชื่อหรือยอมรับคำอธิบายเหล่านี้ ผมรู้สึกเกลียดความตอแหลของตัวเองขึ้นมาทันที

อะไรที่มันไม่จริง ต่อให้พยายามหว่านล้อมโน้มน้าวอย่างไรก็ย่อมเป็นสิ่งปลอม ๆ อยู่นั่นเอง

ผมตัดสินใจเขียนถึงเรื่องนี้ เนื่องจากเพิ่งจะได้ความกระจ่างว่า มีอยู่ 2 เหตุผลที่ทำให้ผมฝังใจกับเหตุการณ์ครั้งนั้น

แรกสุดคือ ตลอดเวลาที่หญิงสาวคนนั้นเอ่ยปากขอเงินจนกระทั่งเธอจากไป เมื่อย้อนรำลึกดูอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว พบว่าผมไม่ได้คิดคำนวณไตร่ตรองอะไรเลย ทุกสิ่งเกิดขึ้นอัตโนมัติโดยแทบไม่รู้ตัว

ตลอดชีวิตผมเคยทำสิ่งเดียวกันนี้บ่อยครั้งพอสมควร แต่นี่อาจเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ผมไม่ได้คิดอะไรเลย (โดยเฉพาะในแง่ของการหาเหตุผลประเมินผู้อื่น คำนวณบวกลบในเชิงกำไรขาดทุน หรือคาดหวังถึงผลตอบแทนที่จะได้รับ)

พูดให้ชัดกว่านั้น ผมไม่รู้สึกว่าได้ทำบุญทำกุศลอันใด และไม่ได้อิ่มเอิบสบายใจเพราะเหตุผลนี้

ผมเพิ่งมาพบว่า ความประทับใจในเรื่องนี้เกิดจากอีกเหตุผลหนึ่ง นั่นคือ หญิงสาวคนนั้นทำให้ผมสัมผัสได้ถึงความปรารถนาดีที่มนุษย์พึงมีต่อกัน

แน่นอนครับว่า ในกรณีนี้เธอต่างหากที่เป็นฝ่ายให้ ไม่ใช่ผม ก่อนจะอำลาจากกันเธอพูดข้อความประโยคหนึ่งกับผม

เป็นประโยคซึ่งผมคิดว่าสวยงาม และเป็นสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่เธอจะพึงให้ผมได้ในขณะนั้น
ขอสารภาพว่า ผมพบความยุ่งยากลำบากใจพอสมควรในการเขียนถึงเรื่องนี้ เพราะต้องระมัดระวังอย่างถึงที่สุด ไม่ให้โน้มเอียงไปทาง "ยกย่องเยินยอ" ตัวเอง (ถ้าใครอ่านแล้วยังรู้สึกเช่นนั้นอยู่ ก็น่าจะเป็นด้วยสาเหตุเดียวคือ ผมไร้ความสามารถในเชิงขีดเขียน)

ปกติแล้วผมไม่นิยมบอกกับผู้อ่านชัด ๆ โจ่งแจ้งหรอกนะครับว่า ประเด็นเป้าหมายที่ต้องการนำเสนอในงานเขียนคืออะไร? เพราะนอกจากจะขาดชั้นเชิง ไร้ความเป็นศิลปะแล้ว การ "บอกตรง ๆ" มักจะก่อให้เกิดความรู้สึกว่า "ยัดเยียด"

แต่ในข้อเขียนชิ้นนี้ ผมขอละเมิดข้อห้าม ด้วยการพูดอะไรตรงไปตรงมา ว่าสิ่งที่อยากจะถ่ายทอดส่งมอบสู่ผู้อ่านในเรื่องนี้ คือประโยคที่หญิงสาวคนนั้นเคยพูดกับผมเมื่อ 6 ปีที่แล้ว

ถ้อยคำนั้นก็คือ God Bless You
(เขียนและเผยแพร่ครั้งแรกในคอลัมน์ “เขียนคาบเส้น” เว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์ ปี 2546 เดิมตั้งใจจะรวมไว้ใน “ข้าวมันเป็ด” ถัดจากบทความชื่อ “เซฟเฮาส์” แต่ก็เหมือนเดิมคือ ผมทำต้นฉบับหาย และเพิ่งหาเจอ เรื่องนี้เป็นบทความชิ้นสุดท้ายในคอลัมน์ "เขียนคาบเส้น" ด้วย ผมเขียนขึ้นโดยมีเจตนาตั้งใจจะให้มันแทนคำร่ำลากับผู้อ่าน-อย่างไม่เป็นทางการ-เนื่องจากขณะนั้นได้เตรียมตัวลาออกจากงานประจำแล้ว ในการเผยแพร่ครั้งนี้ จึงไม่ได้ปรับปรุงขัดเกลาอะไร นอกจากตรวจตราแก้ไขคำที่สะกดผิดให้ถูกต้องเท่านั้นเอง)

ป.ล. พูดถึงหนังสือ "ข้าวมันเป็ด" ขออนุญาตโฆษณาขายของอีกนิดว่า สามารถหาซื้อได้ในงานมหกรรมหนังสือแห่งชาติ ดูเหมือนจะมีขายเคียงข้างกับงานของเพื่อนร่วมสำนักพิมพ์อีก 2 เล่มคือ "อากาศอยู่ตรงนี้...หวังว่าคุณคงหายใจ" เขียนโดยญามิลา และ "สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามเกม" เขียนโดยจักรพันธุ์ ขวัญมงคลทั้งสามเล่มมีวางขายเฉพาะที่บู้ธบลูสเกล โซนซี ชั้นล่าง บู้ธหมายเลข M16 และที่บู้ธของ Open Book ในแพลนนารี ฮอลล์ บู้ธหมายเลข i01
ทุกเล่มลดราคาถูกกว่าหน้าปกประมาณ 20 บาท และไม่มีโปรโมชั่นแถมอะไรเป็นพิเศษ

2 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ผมก็เคยครับ เหตุการณ์เกิดขึ้นที่เมืองไทย
พี่เคยเจอคนที่หาทางกลับบ้านไม่ได้ไหม "น้องๆหมอชิตไปทางไหน.... พี่ขอค่ารถกลับบ้านหน่อย" ปกติผมไม่เคยให้เลยด้วยซ้ำ เพราะรู้สึกไม่อยากให้
แต่วันนั้นผมเจอคนแบบนั้นในซอยบ้านผมครับ ซึ่งซอยผมก็ไม่น่าจะใช่แหล่งทำมาหากินอะไรของคนพวกนี้ได้ แต่ตอนนั้นผมไม่ได้รู้สึกอะไรเลย หยิบเงินให้เขาไปเลยโดยไม่คิดอะไร และเป็นจำนวนเงินที่มากที่สุดเท่าที่ผมเคยให้คนที่เข้ามาขอแบบนี้

ผมว่าพี่คิดถูกแล้วที่กล่าวว่ามันเป็นความรู้สึกที่ส่งถึงกันได้

narabondzai กล่าวว่า...

ขอโทษทีที่ผมเข้ามาตอบช้า
สองอาทิตย์ที่ผ่านมา เจอวิกฤติทางด้านการงานอย่างหนักนะครับ
ทุกวันนี้ผมก็ยังเจอคนมาขอตังค์ค่ารถอยู่บ่อย ๆ และก็ทำเหมือนเดิมนะครับ ยกเว้นกรณีที่เมากลิ่นเหล้าหึ่งเท่านั้น ที่ผมต้องยอมทำใจแข็ง